OSP บวกแรง 4% เก็งผลงาน Q2 โตดี พ่วงรับ 3 พันล้านขายหุ้น “ยูนิชาร์ม”

OSP บวกแรง 4% ลุ้นไตรมาส 2/66 โตดีรับช่วงพีกอากาศร้อน มั่นใจรายได้และกำไรปีนี้ตามเป้าพุ่ง 2 หลัก พ่วงรับ 3 พันล้านขายหุ้นยูนิชาร์ม 5.58% โบรกฯแนะ ‘ถือ’ เป้า 32 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (2 มิ.ย.66) ราคาหุ้นบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ณ เวลา 15.16 น. อยู่ที่ระดับ 30.00 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 3.45% สูงสุดที่ระดับ 30.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 28.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 343.99 ล้านบาท

ด้านนางพรธิดา บุญสา กรรมการ กรรมการบริหาร กรรมการบริหารความเสี่ยง OSP เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2566 บริษัทมีรายได้รวม 6,893 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 778 ล้านบาท โดยได้รับอานิสงส์จากการเป็นช่วงจุดสูงสุด (Peak) ที่สุดของฤดูร้อน ซึ่งในปีนี้มีอุณหภูมิร้อนมาก ประกอบกับเป็นช่วงเลือกตั้ง ถือเป็นปัยจัยบวกที่กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มด้วย นอกจากนี้ ยอดขายในต่างประเทศยังคงขับเคลื่อนการเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายในปี 2566 ไว้ 6 ด้าน ประกอบด้วย1. กำไรจะมีอัตราการเติบโตที่ 2 หลัก (double-digit % growth),2. รายได้จากการขายจะเติบโตในระดับ 2 หลัก (Double-digit % growth),3. ส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) เพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อยอีก 2% จากปีก่อน,4. การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ รวมถึงการขยายช่องทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง,5. มุ่งมั่นขับเคลื่อนบริษัทสู่ความยั่งยืน และมุ่งเป้าหมายสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และ6. การเติบโตแบบ Inorganic Growth ด้วยการประกาศดีลควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม

สำหรับการเติบโตของตลาดต่างประเทศในปี 2566 บริษัทยังคงวางเป้าหมายจะเติบโตในระดับ 2 หลัก (Double-digit) ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/2566 ตลาดต่างประเทศเป็นตลาดหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศในสัดส่วน 65% หลัก ๆ มาจากประเทศพม่า และในปีนี้ก็ยังวางเป้าหมายรายได้จากการขายในประเทศพม่าเติบโตที่ระดับ 2 หลักเช่นกัน ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/2566 ที่ผ่านมายอดขายต่างประเทศจากประเทศพม่า ลาว และอินโดนีเซียทำได้ดีมาก

ส่วนกรณีที่มีข่าวกรมสรรพสามิตพิจารณาปรับปรุงแผนการเก็บภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่มใหม่นั้น จะไม่กระทบต่อต้นทุนของบริษัท เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับสูตรลดน้ำตาลในเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มลงได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ก่อนกฎหมายจะประกาศใช้จริงในแต่ละรอบด้วย

“ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกจากค่าใช้จ่ายในกลุ่ม natural gas (ก๊าซธรรมชาติ) ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบดีลดลง ซึ่งจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ไตรมาส 2/2566 เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องของน้ำตาลที่ปรับขึ้นราคา แต่ด้วยผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่เป็น Low Sugar (น้ำตาลต่ำ) จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาดังกล่าวมากนัก อีกทั้งการเลือกตั้งยังเป็นผลดีกับธุรกิจของประเทศ ก็จะเป็นปัจจัยบวกให้กับธุรกิจของ OSP ด้วย” นางพรธิดา กล่าว

โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 บริษัทได้ลงนามในตราสารการโอนหุ้นเพื่อจำหน่ายหุ้นของบริษัท ยูนิ ชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด (ยูนิชาร์ม) ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ทั้งหมดจำนวน 420,500 หุ้น หรือคิดเป็น 5.85% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดในยูนิชาร์ม ให้แก่บริษัท ยูนิชาร์ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ผู้ซื้อ) เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท ซึ่งประเมินราคาโดยที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว

โดยการจำหน่ายหุ้นของยูนิชาร์มดังกล่าว เป็นไปตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการการลงทุนของกลุ่มบริษัทที่มุ่งเน้นการขยายกลุ่มธุรกิจหลัก (core Business) ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว ตลอดจนกลุ่มธุรกิจที่สามารถใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive advantage) ของบริษัท จากธุรกิจหลักที่มีสัดส่วนการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้สามารถจัดสรรทรัพยากรของบริษัทให้มุ่งเน้นการเติบโตของกลุ่มธุรกิจหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้การจำหน่ายหุ้นของยูนิชาร์ม ยังส่งผลให้บริษัทได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเหมาะสมและคุ้มค่าซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ OSP และผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืนต่อไป

ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า OSP จำหน่ายหุ้นของยูนิชาร์มดังกล่าวเป็นไปตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการลงทุนของกลุ่มโอสถสภาที่มุ่งเน้นการขยายกลุ่มธุรกิจหลัก ซึ่ง OSP จะบันทึกธุรกรรมนี้อยู่ในส่วนของผู้ถือหุ้น (ไม่ผ่านงบกำไรขาดทุน) ขณะที่ OSP ถือหุ้นยูนิชาร์มอยู่ที่ 5.85% ทำให้ได้รับเงินปันผล จำนวน 135 ล้านบาท 305 ล้านบาท และ 20 ล้านบาท ในช่วงปี 2563-2565 ตามลำดับ

ขณะที่ในไตรมาส 1/2566 ทาง OSP ได้บันทึกรายได้จากเงินลงทุนจำนวน 306 ล้านบาท ดังนั้นตั้งแต่ปี 2567 ทาง OSP จะไม่มีรายได้จากเงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 10% ของกำไร

นอกจากนี้ OSP มีแผนงานเข้าควบรวม หรือซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งผู้บริหารคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2566 โดย OSP จะใช้เงินขายหุ้นดังกล่าวสนับสนุนดีล M&A และเพิ่มกำไรให้แก่บริษัท รวมทั้งมองว่าธุรกิจหลักของ OSP ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีแนวโน้มรายได้และกำไรฟื้นตัวรายไตรมาส จึงคงคำแนะนำ “ถือ” ให้ราคาเป้าหมาย 32 บาทต่อหุ้น

Back to top button