NER บวก 4% ลุ้นกำไร Q2 โต รับยอดขายเพิ่ม-ออเดอร์ยาวถึง ส.ค.

NER วิ่งเกือบ 4% ส่งซิกไตรมาส 2 สดใสต่อเนื่อง รับปริมาณขายเข้าเป้า หลังราคาขายพุ่ง แถมตุนออเดอร์ล่วงหน้ายาวถึงส.ค. 66


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 มิ.ย.66) ราคาหุ้น บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ณ เวลา 15:25 น. อยู่ที่ระดับ 4.64 บาท บวก 0.16 บาท หรือ 3.57% สูงสุดที่ระดับ 4.64 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 31.06 ล้านบาท

ด้าน นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NER เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้ผลิตยางธรรมชาติอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศไทย ภายในปี 2567 ตามวิสัยทัศน์ (Vision) ของบริษัท จากปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 6-7

โดยบริษัทมุ่งเน้นการขยายตลาดกลุ่มลูกค้าในประเทศต่าง ๆ รวมถึงอินเดีย ซึ่งตั้งเป้าหมายสัดส่วนยอดขายประเทศอินเดียไว้ที่ประมาณ 10% ของยอดขายรวมปี 2567 เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่คาดว่ายอดขายจะคิดเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 5-10% ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการเซ็นสัญญากลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายราย ทั้งในประเทศจีน สิงคโปร์ อินเดีย และไทย

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนการขยายกำลังการผลิตสินค้าประเภทยางแท่งและยางแท่งผสม โดยการลงทุนก่อสร้างโรงงานยางแท่งและยางผสมแห่งที่ 3 กำลังการผลิต 172,800 ตัน ใช้งบลงทุนประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมการปรับปรุงที่ดิน คาดว่าโรงงานจะสร้างเสร็จและเริ่มมีรายได้ในปี 2567 ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 688,400 ตันต่อปี

นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งมั่นที่จะลดต้นทุนการผลิตในการดำเนินงาน เนื่องจากการขยายกำลังการผลิตทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economic of Scale) และบริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนต่าง ๆ ภายในโรงงานได้ รวมถึงจะมีการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ภายในโรงงานแห่งที่ 3 เพื่อลดต้นทุนพลังงานเพิ่มเติมด้วย

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายปริมาณขายรวม 500,000 ตัน เติบโตจากปีก่อนอยู่ที่ 446,090 ตัน เนื่องจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากประเทศจีนหลังเปิดประเทศ และความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งคงเป้าหมายมีรายได้จากการขายในปี 2566 อยู่ที่ 30,0000 ล้านบาท จากปี 2565 ที่มีรายได้จากการขายสินค้า 25,172.06 ล้านบาท

นอกจากนี้ ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ยังมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.38 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 702.16 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.07 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 129.34 ล้านบาท ที่ได้จ่ายเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2565

โดยคงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายในครั้งนี้อีกหุ้นละ 0.31 บาท คิดเป็นเงิน 572.81 ล้านบาท ซึ่งการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2565 คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 40.17% ของกำไรสุทธิหลังจากหักเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 21 เม.ย. 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 พ.ค. 2566

ด้านนายศักดิ์ชัย จงสถาพงษ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชีและการเงิน NER เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ทิศทางผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 ปริมาณการขายจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามคำสั่งซื้อของกลุ่มลูกค้าเดิมที่เพิ่มขึ้น และมีฐานลูกค้าใหม่เข้ามาเสริมพอร์ต มั่นใจว่ารายได้จากการขายจะกลับมาฟื้นตัวอย่างโดดเด่น เนื่องจากคำสั่งซื้อล็อตใหม่อยู่ในช่วงปรับราคาขายขึ้น และมีคำสั่งซื้อลากยาวไปถึงเดือน ส.ค. 2566 แล้ว นอกจากนี้มีการปรับแผนการดำเนินธุรกิจแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ จะมีการเปิดแผนการดำเนินงานใหม่ในช่วงปลายไตรมาส 2/2566 นี้

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ระบุว่า ttb analytics เชื่อว่าความต้องการสินค้าของไทยจากประเทศจีนจะทยอยปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปนับแต่ต้นปี 2566 แม้ครึ่งปีแรกจะยังหดตัวอยู่ที่ 10.8% แต่จะพลิกกลับมาขยายตัวได้ที่ 12.9% ในครึ่งปีหลัง ทำให้ทั้งปี 2566 มูลค่าส่งออกไปจีนจะอยู่ในระดับทรงตัวจากปีก่อนซึ่งหดตัว 7.7%

ขณะที่ สินค้าที่ส่งออกไปจีน มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางจะขยายตัวดีต่อเนื่อง คาดว่าจะขยายตัว 6% สำหรับมูลค่าการส่งออกมันสำปะหลังจะขยาย 4% อย่างไรก็ตามการส่งออกสินค้าหมวดผลไม้และเม็ดพลาสติกมีทิศทางชะลอตัวจากผลของฐานราคาที่สูงในปีก่อน แต่ในแง่ปริมาณมีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ยังต้องใช้เวลา

“การเปิดประเทศของจีนในต้นปี 2566 ถือเป็นข่าวดีต่อความเชื่อมั่นทั่วโลก และช่วยส่งเสริมโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกท่ามกลางการชะลอตัวลงของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก (สหรัฐฯ ยุโรป และอังกฤษ) ด้วยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคของจีน โดยเฉพาะรายได้ที่แท้จริงที่ยังไม่เข้มแข็งมากนัก อาจต้องรอเวลาถึงครึ่งหลังของปี 2566 จึงจะได้เห็นผลที่ชัดเจนขึ้น ทั้งต่อการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีนและการส่งออกสินค้าของไทย” ttb analytics ระบุ

Back to top button