NER วิ่งยาว 6 วันพุ่ง 9% ลุ้นไตรมาส 2 โต ตุนออเดอร์ยาวถึงสิ้นปี

NER บวกยาว 6 วันกว่า 9% คาดผลงานไตรมาส 2/66 โต รับแรงหนุนยอดขาย-ราคาขายเพิ่ม ดันอัตรากำไรสูงขึ้น โชว์ออเดอร์ล่วงหน้ายาวถึงไตรมาส 4/66 รับผลบวกผู้ผลิต EV ย้ายฐานผลิตเข้าไทย หนุนผลงานปีนี้เข้าเป้ายอดขายโต 5 แสนตัน และรายได้พุ่ง 3 หมื่นล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (14 มิ.ย.66) ราคาหุ้น บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ณ เวลา 10:18 น. อยู่ที่ระดับ 4.84 บาท บวก 0.08 บาท หรือ 1.68% สูงสุดที่ระดับ 4.84. บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.84 ล้านบาท

โดยราคาหุ้น NER ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 นับจากราคาปิดที่ระดับ 4.44 บาท เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.66 คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 9%

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NER เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 คาดว่าจะดีกว่าไตรมาส 1/2566 และใกล้เคียง หรืออาจดีกว่าช่วงเดียวกันของปี 2565 เนื่องจากมีการปิดยอดขายรอส่งมอบ (Order) ครบ 100% แล้ว และราคาขายเฉลี่ย (ASP) ขยับขึ้นตามภาวะตลาด

ขณะที่ในไตรมาส 1/2566 บริษัทมียอดขาย 127,574 ตัน หรือคิดเป็น 25% ของเป้าหมายปี 2566  และมีรายได้จากการขาย  6,353 ล้านบาท โดยคาดในไตรมาส 2 ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 2566 จะทำยอดขายได้ไตรมาสละ 25% ทั้งยอดขายในประเทศ และยอดส่งออก ทำให้ยอดขายปี 2566 เข้าเป้าหมายตามแผนที่ตั้งไว้ 500,000 ตัน จากปี 2565 ที่มียอดขาย 446,090 ตัน

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอส่งมอบลากยาวไปจนถึงไตรมาส 4/2566 แล้ว และยังมีการซื้อขายกับลูกค้าที่มีออเดอร์สัญญาระยะยาว (Long Term Contact) เพิ่มเติมต่อเนื่อง ส่วนความสามารถในการทำอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2566 เป็นต้นไป จากไตรมาส 1/2566 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 9.71% ซึ่งเป็นไปตามภาวะการแข่งขันที่นิ่ง และผ่านจุดต่ำสุดของราคายาง

ส่วนกรณียอดส่งออกยางของประเทศไทยติดลบมากกว่า 40% นั้น เป็นเพียงยอดรวมแผ่นยางธรรมชาติแห้ง และน้ำยางข้น ที่มีฐานสูงในช่วงเกิดโควิด-19 ที่ได้ส่งออกน้ำยางข้นไปมาเลเซีย ไต้หวัน และจีน อย่างไรก็ตาม NER มีสินค้าเป็นแผ่นยางรมควัน และยางแท่ง (ไม่มีน้ำยางข้น) จึงไม่ได้รับผลผลกระทบใด ๆ ส่วนราคายางปัจจุบันเป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน ซึ่งปีนี้ต้องติดตามทิศทางราคาน้ำมันเป็นพิเศษ

นอกจากนี้บริษัทจะได้รับผลดีจากผู้ประกอบการยานยนต์ย้ายฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มาประเทศไทย และบริษัทยางล้อจะย้ายฐานผลิตตามมา ซึ่งเป็นผลดีโดยตรง เนื่องจาก NER มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้ากลุ่มนี้ในประเทศจีนอยู่แล้ว ส่วนการขึ้นค่าแรง 450 บาทต่อวัน มีการคำนวณตัวเลขออกมาแล้วว่ากระทบบริษัทเล็กน้อยเท่านั้น

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 น่าจะใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 เป็นไปตามปัจจัยยอดขายที่จะเฉลี่ยอยู่ที่ 25% ต่อไตรมาสตามที่กล่าวข้างต้น รวมถึงยอดผลิตและยอดขายโดยรวมจะเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 15-20% แต่ยังกังวลเอลนีโญที่อาจทำให้ซัพพลายน้อยลงในปี 2567 แต่จะแลกมาด้วยความสามารถในการทำกำไร (มาร์จิ้น) ที่สูงขึ้น หลังจากปัจจุบันราคายางได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ส่วนกระแสเกษตรกรไทยหันไปปลูกปาล์ม และทุเรียน เป็นการทำเกษตรแบบผสมผสานเท่านั้น

สำหรับในปี 2566 บริษัทจะเน้นตลาดหลักมากขึ้น โดยเฉพาะจีน เนื่องจากผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) จะขยายตัวได้ดี 5.2% และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั้งไทย จีน และอินเดีย ที่ NER ทำตลาด PMI ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ข่าวล่าสุดจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศได้ดี และยอดผลิต EV ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามความต้องการของตลาดโลก เชื่อว่าอาจจะเห็นตัวเลขที่ดีมากของตลาดจีนในช่วงปลายปี 2566

ดังนั้นบริษัทยังคงเป้าหมายรวมในปี 2566 จะมีปริมาณขายรวมประมาณ 500,000 ตัน หรือคิดเป็นรายได้จากการขายราว 30,000 ล้านบาท จากปี 2565 ที่มีปริมาณขายรวม 446,090 ตัน หรือคิดเป็นรายได้จากการขาย 25,169 ล้านบาท เป็นไปตามปัจจัยบวกตามที่กล่าวข้างต้น รวมถึงธุรกิจจะเป็นทิศทางขาขึ้นนับจากนี้ไป และค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจที่ลดลงต่อเนื่อง หลังค่าระวาง (Freight) กลับสู่ฐานปกติ

ส่วนแผนการขยายกำลังการผลิตสินค้าประเภทยางแท่ง และยางแท่งผสม โดยการลงทุนก่อสร้างโรงงานยางอัดแท่งและยางผสมแห่งที่ 3 กำลังการผลิต 172,800 ตัน งบลงทุน 700-750 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างเสร็จ และเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/2567 ซึ่งล่าช้าจากแผนเดิมที่วางไว้ในไตรมาส 1/2567 เนื่องจากเป็นการเลื่อนลงทุนตามสถานการณ์ หรือภาวะตลาด ซึ่งเลื่อนออกมาเพียงไตรมาสเดียวเท่านั้น และกำลังการผลิตปัจจุบันยังสามารถรองรับออเดอร์ได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อโรงงานแล้วเสร็จจะส่งผลให้ปี 2567 มีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 688,400 ตันต่อปี จากปี 2566 ที่มีกำลังการผลิต 515,600 ตันต่อปี สูงขึ้นจากปี 2565 ที่มีกำลังการผลิตรวม 465,600 ตันต่อปี

ขณะที่ฐานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง และภายในระยะ 1 ปี จะมีหุ้นกู้ครบชำระอีก 1,300 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีความพร้อมในการบริหาร หรือชำระได้ตามกำหนด แม้ไตรมาส 1/2566 มีกระแสเงินสดเพียง 640 ล้านบาท แต่ยังมีวงเงินธนาคารกว่า 10,000 ล้านบาท ที่ยังไม่ได้ใช้ และกระแสเงินสดที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินธุรกิจระหว่างไตรมาสด้วย

ด้านธุรกิจแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ ทั้งการพัฒนาแผ่นปูวัวนม และแผ่นปูลูกหมู บริษัทปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่เรียบร้อยแล้ว โดยตลาดในประเทศ จะมีการขายดังนี้

  1. ขายโดยตรงต่อฟาร์ม แบ่งเป็น ฟาร์มวัว 70% และฟาร์มหมู 30%
  2. ขายผ่านตัวแทนจำหน่าย แบ่งเป็น ฟาร์มหมู 80% และฟาร์มวัว 20% เนื่องจากตัวแทนจำหน่ายมีความชำนาญในตลาดหมูมากกว่า ปัจจุบันได้เริ่มเจาะตลาดในประเทศบ้างแล้ว

ส่วนตลาดในต่างประเทศ จะพยายามมองหาตัวแทนจำหน่ายเป็นหลัก แบ่งเป็น

  1. ตลาดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านสัตวแพทย์ หรือปศุสัตว์ ที่น่าจะนำเสนอสินค้าของ NER ในตลาดได้ดี โดยมีแผนเยี่ยมชมฟาร์มจำลองประมาณเดือน ส.ค. 2566 และจะมีการส่งออกสินค้าล็อตแรกไปทดลองว่าสินค้ารูปแบบใดเหมาะกับตลาดญี่ปุ่น
  2. ตลาดในประเทศเยอรมนี มีการเจรจากับลูกค้าในเชิงรับจ้างผลิต (OEM) และเตรียมออกบูธงานแสดงสินค้าภายในปี 2567 ด้วย

Back to top button