ITC วิ่ง 11% หลังโชว์ยอดขาย Q3 เฉียด 4 พันล้าน ดันกำไรแตะ 645 ลบ.

ITC วิ่งต่อ 11% หลังโกยยอดขายไตรมาส 3/66 เฉียด 4 พันล้านบาท หนุนกำไรสุทธิแตะ 645 ล้านบาท รับลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นจากทุกภูมิภาค


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(13 ก.ย.66) ราคา บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ณ เวลา 15:08 น. อยู่ที่ระดับ 18.70 บาท บวก 1.80 บาท หรือ 10.65% ราคาสูงสุด 19.10 บาท ราคาต่ำสุด 16.70 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 105.95 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้น ITC ปรับตัวขึ้น ตอบรับรายงานผลการดำเนินธุรกิจไตรมาสที่ 3/2566 โดยมีรายได้จากยอดขายรวม 3,999 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 23% มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจนถึงเดือนกันยายนของปีนี้ บริษัทฯ มีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นจากทุกภูมิภาค และมีความพร้อมสำหรับการแข่งขันเพื่อคว้าโอกาสในการเติบโตอย่างเข้มแข็งในตลาดโลกต่อไป

นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ITC กล่าวว่า แม้ว่าบริษัทจะต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากการสะสมของสินค้าคงคลังของลูกค้าและความต้องการสินค้าที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ช่วงต้นปี ซึ่งส่งผลให้ปี 2566 ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับการดำเนินธุรกิจของ ITC

อย่างไรก็ตาม ยังคงมองเห็นสัญญาณบวกจากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่สะท้อนจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในไตรมาส 3/2566 และมีแนวโน้มการปรับตัวที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บริษัทวางเป้าหมายในการรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยของยอดขายรวมที่ 15% ต่อปี ระหว่างปี 2566 ถึง 2568 ด้วยการขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์หลักในการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตมาตรฐานระดับโลก การขยายการผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ชั้นนำต่างๆ การตอบสนองความต้องการจากกลุ่มค้าปลีกชั้นนำที่ขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร รวมถึง การคว้าโอกาสจากความต้องการผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยมที่กำลังเติบโตทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป

สำหรับ ITC ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่และสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูงถึง 921 รายการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงขยายการเติบโตภายในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงสูตรซุปเปอร์พรีเมี่ยมภายใต้แบรนด์ “Bellotta Nutri+”ที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นเพื่อส่งมอบโภชนาการและคุณประโยชน์สำหรับแมวในทุกช่วงอายุ โดยเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาทางร้านค้าชั้นนำและช่องทางออนไลน์ รวมถึง การขยายแผนการตลาดไปสู่ “Premium Mass” เพื่อสนับสนุนให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยมได้มากยิ่งขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้จากยอดขายรวมที่ 10,829 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,515 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนของยอดขายในภูมิภาคอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้อยู่ที่ 49% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 40% และยุโรปอยู่ที่ 11% อีกทั้งสามารถแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทของสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 70%, อาหารสุนัข 14%, ขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง 12% และธุรกิจอื่นๆ อีก 4%

นอกจากนี้บริษัทยังสามารถคว้ารางวัลอันทรงคุณค่าในหลากหลายสาขาจากสถาบันระดับโลก อาทิ รางวัล Best Innovation in Pet Food Manufacturer Asia 2023 รางวัล Leading Pet-Centric Company Thailand 2023 และ รางวัล Leading New Pet Food Manufacturer Asia 2023 จาก Global Business Review Magazine และ รางวัล Best Innovation in Pet Food Manufacturing Thailand 2023 จาก  International Business Magazine เป็นต้น

โดยท้ายที่สุดนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องกับ SeaChange® 2030 ซึ่งเป็นกลยุทธ์ความยั่งยืนของกลุ่มไทยยูเนี่ยน โดยโรงงานทั้ง 2 แห่งของ ITC ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดสงขลา เป็นโรงงานต้นแบบในจำนวน 5 โรงของกลุ่มไทยยูเนี่ยนในการนำร่องด้านกระบวนการผลิตที่เป็นเลิศ (best-in-class manufacturing) อาทิ โครงการลดการปล่อยน้ำเสียเป็นศูนย์ (zero water discharge) ให้สำเร็จภายในปี 2573

นอกจากนี้ ทั้ง 2 โรงงานยังมีการติดตั้งหลังคาโซลาร์เซลล์เพื่อสนับสนุนการลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มไทยยูเนี่ยนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 42 เปอร์เซ็นต์ ในขอบเขตที่ 1, 2 และ 3 ภายในปี 2573 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593

ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำระดับโลก ITC ยังคงมุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงสุดของเราที่พัฒนาขึ้นจากนวัตกรรมที่ล้ำสมัย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าของเราจากทั่วโลก รวมถึงยังคงเดินหน้าเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต” นายพิชิตชัย กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button