DITTO บวก 3% จ่อบุ๊กรายได้ “สวนสัตว์” พันล้าน ลุยขาย “คาร์บอนโทเคน” ปีนี้

DITTO บวก 3% ลั่นปี 67 รับรู้รายได้สวนสัตว์แห่งใหม่เฟสแรกกว่า 1 พันล้านบาท ปี 68 มั่นใจมีโอกาสสูง คว้างานเฟสสองต่อ อีก 5 พันล้านบาท เดินหน้าออกเหรียญโทเคน อิงคาร์บอนเครดิตป่าชายเลนภายในกลางปีนี้ พร้อมรับรู้รายได้คาร์บอนเครดิตปีถัดไป ต่อเนื่องยาวกว่า 30 ปี ล่าสุดจับมือ NETBAY ลุยโครงการใหญ่ในปี 67 หลังเข้าถือหุ้น 24.90%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (2 ม.ค. 67) ราคาหุ้น บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DITTO  ณ เวลา 10:09 น. อยู่ที่ระดับ 28.00 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 2.75% สูงสุดที่ระดับ 28.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 27.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.89 ล้านบาท

นายฐกร รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DITTO เปิดเผยผ่าน “รายการข่าวหุ้นเจาะตลาด” ออกอากาศผ่านข่าวหุ้นทีวีออนไลน์ว่า สำหรับความคืบหน้าของโครงการสวนสัตว์แห่งใหม่ระยะที่ 1 รวมมูลค่า 5,354 ล้านบาท ปัจจุบันมีการปรับพื้นที่ถมดินไปได้กว่า 80% ในส่วนของงานก่อสร้างจะเริ่มมีการเข้าพื้นที่มากขึ้น ในปี 2567-2568 DITTO และบริษัท สยาม ทีซี เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จะเริ่มเข้าไปรับรู้รายได้ในภาคเทคโนโลยีและการจัดแสดง ตามความคืบหน้าของงาน

“ปี 2567 จะสามารถทยอยรับรู้รายได้จากในส่วนนี้ถึง 1 ใน 3 ของ Backlog ดังกล่าว หรือประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท จนถึงปลายปี 2568 โดยยังไม่รวมงานใหม่ ซึ่งสวนสัตว์แห่งนี้จะมีระบบ Digital, ระบบ IT, ระบบจองตั๋ว, การดูข้อมูล และแอปพลิเคชันต่าง ๆ เข้ามาให้บริการผู้เยี่ยมชมมากขึ้น ส่วนในระยะที่ 2 ในปี 2568 ก็จะเริ่มได้ผู้รับจ้าง คาดว่าจะมีโอกาสมีงานเข้ามาในการแข่งขันในโครงการระยะที่ 2 ด้วย มูลค่างานกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งรวมการดำเนินการโครงการดังกล่าวทั้งหมดใช้ระยะเวลา 5 ปี” นายฐกร กล่าว

สำหรับสวนสัตว์แห่งใหม่นี้มีเนื้อที่ 300 ไร่ บนที่ดินพระราชทาน ตั้งอยู่บริเวณ คลองหก อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี จะเป็นสวนสัตว์ชั้นนำที่ทันสมัยมาตรฐานระดับโลก เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านธรรมชาติและสัตว์ป่า การอนุรักษ์ การวิจัย และเพาะขยายพันธุ์สัตว์ป่าคืนสู่ธรรมชาติที่สำคัญของประเทศและนานาชาติในระดับสากล อีกทั้งเป็นแหล่งนันทนาการที่รองรับนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตลอดจนเป็นพื้นที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนทั่วไป คน สัตว์ ธรรมชาติจะเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว ด้วยเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ซึ่งเป็นลักษณะของสวนสัตว์สมัยใหม่

ส่วนโครงการปลูกป่าชายเลนนั้น ล่าสุดได้มีการจัดประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 28 หรือ COP28 ที่นครดูไบของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทาง DITTO จึงเล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ โดยได้มีการเริ่มขอพื้นที่ในการปลูกป่า และรักษาป่าชายเลนเพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีพื้นที่ทั้งหมด 170,000 ไร่ แบ่งเป็นป่าปลูกใหม่ประมาณ 20,000 ไร่ และป่าชุมชนประมาณ 150,000 ไร่ ซึ่งจะมีการนำขึ้นทะเบียนเพื่อออกเหรียญ Carbon Credit Token ร่วมกับทาง Token X คาดว่ากลางปี 2567 น่าจะสามารถออกเหรียญ Carbon Credit Token ได้

โดยจะสามารถดำเนินการตรวจวัด Carbon Credit ได้ช่วงปี 2568-2569 ก็จะได้ Carbon Credit ชุดแรกออกมา ทำให้สามารถเริ่มรับรู้รายได้ในส่วนนี้ได้ และรับรู้ต่อเนื่องไปอีก 30 ปี โดยมาตรฐานที่จะนำมาใช้นั้น ปัจจุบันในประเทศไทยยังคงเป็น Premium T-VER ที่สอดรับกับมาตรฐานของต่างประเทศ ในปี 2568 ความเข้มข้นของกฎหมายระหว่างประเทศเรื่องมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ CBAM, ภาษีคาร์บอน, ภาษีคาร์บอนข้ามแดน และการส่งออกที่จะต้องเป็นไปตามมาตรฐานของ CBAM รวมถึงเรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน หรือ ESG ด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการศึกษาเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม ESG เพื่อให้เข้ากับเทรนด์ Climate technology และตลาดที่จะลงทุนด้วย เช่น การลงทุนในกองทุนที่มีหุ้นที่มีการลงทุนใน ESG ด้วย ซึ่ง NETBAY ก็มีความชำนาญเรื่องแพลตฟอร์มในอนาคตอาจจะมาร่วมกันได้ โดยแพลตฟอร์ม ESG จะต้องมีองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม โรงงาน ด้านอุตสาหกรรม เป็นต้น ทางบริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG ก็มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่ อย่างไรก็ตาม ปีนี้น่าจะเป็นปีที่จะเห็นภาพการเติบโตที่ชัดเจนขึ้นของ DITTO ทั้งงานเดิมและงานใหม่ที่ร่วมมือกับพันธมิตรอีกหลายบริษัท

นายฐกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ธุรกิจจำหน่ายและให้บริการระบบบริหารจัดการเอกสารและข้อมูลสู่ระบบดิจิทัล ยังมีโอกาสเติบโตอีกมากในการดำเนินธุรกิจ Digital Transformation โดยกลุ่มธุรกิจจำหน่ายและให้บริการระบบบริหารจัดการเอกสารและข้อมูล ซึ่งเป็นการแปลงเอกสารและข้อมูลสู่ระบบดิจิทัลครบวงจรนั้น มีกลุ่มลูกค้าที่เป็นรัฐวิสาหกิจและเอกชน เช่น กลุ่ม Retail, กลุ่มประกัน, กลุ่มธนาคาร, ศาลยุติธรรม, กรมที่ดิน เป็นต้น

ขณะที่ปัจจุบันยังเหลือหน่วยงานอีกมากที่ยังไม่ได้มีการนำเอกสารในรูปแบบของกระดาษเข้ามาสู่ในรูปแบบของ Digital อีกเยอะมาก จากการทำข้อมูลตลาดดังกล่าวมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทแต่จะไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว จะมีการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบความปลอดภัยของข้อมูล การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การจัดเก็บค้นหา การเข้าถึงข้อมูล ก็จะมีบทบาทและความสำคัญมากขึ้น รวมถึงเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อนำไปพัฒนา บริหารจัดการและช่วยในการตัดสินใจแก้ปัญหา และสามารถนำข้อมูลสร้างการเรียนรู้ให้ AI (Artificial intelligence) ให้เรียนรู้ข้อมูลได้มากขึ้นในอนาคต

โดยกฎหมายราชการดิจิทัลเป็นการผลักดันนโยบายของรัฐบาลผ่าน พ.ร.บ. การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชนในรูปแบบ e-Service มากขึ้น หน่วยงานท้องถิ่นและส่วนกลางของทุกหน่วยงาน รวมถึงองค์กรขนาดใหญ่ก็มีการปรับตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น ในการลงทุนทำ Digital Platform จะต้องมีการดำเนินการต่อเนื่องเพราะต้องมีการพัฒนาให้ภายในหน่วยงานทั้งหมดสามารถเชื่อมโยงและถ่ายโอนข้อมูลอย่างไร้รอยต่อผ่านระบบ แนวโน้มการใช้งบประมาณการสร้างพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเอกสารในอนาคตจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ และจะมีการพัฒนาระบบให้แต่ละหน่วยงานใช้เอกสารที่เป็น Digital Platform และเชื่อมโยงผ่านดิจิทัลในอุปกรณ์หลายมิติมากขึ้น

ส่วนการเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) หรือ NETBAY จำนวน 49,800,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 24.90% ของทุนชำระแล้ว เนื่องจาก NETBAY เป็นบริษัทที่ดำเนินการและมีความเชี่ยวชาญมากเกี่ยวกับ Digital Platform การรวมกันครั้งนี้จะสร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นการขยายผลต่อยอดการให้บริการที่แข็งแกร่งเกี่ยวกับ DATA แบบครบวงจรในทุกมิติเพื่อบริการทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งทาง NETBAY มีการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล Intelligent Box (iBox) ที่เป็นระบบยืนยันตัวตนอิเล็กทรอนิกส์ (E-KYC) ด้วยตัวเอง ที่ปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าทางภาครัฐอยู่แล้ว และ DITTO มีกลุ่มลูกค้าหน่วยงานท้องถิ่นอยู่แล้ว ก็สามารถนำ iBox มาขยายผลในการให้บริการต่อได้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับ DITTO และ NETBAY เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 น่าจะเห็นโครงการใหญ่เกิดขึ้นร่วมกัน

สำหรับภาพรวมปี 2566 ที่ผ่านมา ผลประกอบการเป็นไปตามเป้า ส่วนยอดรายได้อาจจะเกินเป้าหมายที่วางไว้เล็กน้อย รายได้สุทธิและกำไรสุทธิเป็นไปตามที่คาดหวัง รายได้หลักของบริษัทมาจากธุรกิจหลักของบริษัท ประกอบด้วย 1) กลุ่มธุรกิจจำหน่ายและให้บริการระบบบริหารจัดการเอกสารและข้อมูล ซึ่งเป็นการแปลงเอกสารและข้อมูลสู่ระบบดิจิทัลครบวงจร 40% 2) กลุ่มวิศวกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรม 45% 3) กลุ่มธุรกิจให้เช่าและจำหน่ายเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ ไดรฟ์ทรู และให้บริการระบบจำหน่ายสินค้าหน้าร้าน (POS) ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมของทางบริษัท 15% และ 4) กลุ่มธุรกิจ Climate tech ที่จะเป็นธุรกิจหลักในอนาคต ปัจจุบันยังไม่สามารถรับรู้รายได้ แต่ได้มีการเริ่มสร้างโครงสร้างเพื่อโอกาสในอนาคตเกี่ยวกับการปลูกป่า โดยขณะนี้บริษัทได้พื้นที่มาทั้งหมด 170,000 ไร่ ทำให้รายได้ปัจจุบันยังเป็นน้ำหนักในเรื่อง Digital Transformation เป็นหลัก

Back to top button