AOT ร่วงต่อ 5% วิตก “คิง เพาเวอร์” ขอถกเลิกสัญญา “ดิวตี้ฟรี” 5 สนามบิน

AOT ราคาร่วงต่อ 5% หลัง KPD ส่งหนังสือขอหารือยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี 5 สนามบิน เหตุต้นทุนพุ่ง-ยอดขายลด นักลงทุนจับตาความไม่แน่นอนระยะสั้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 มิ.ย. 68) ราคาหุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ณ เวลา 10:11 น. อยู่ที่ระดับ 28.25 บาท ลบ 1.50 บาท หรือ 5.04% สูงสุดที่ระดับ 29.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 27.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 790.37 ล้านบาท

บมจ.ท่าอากาศยานไทย แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯว่า จากกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อออนไลน์เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ได้ส่งหนังสือถึงบริษัท เพื่อขอหารือแนวทางการยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานหลัก 5 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานภูเก็ต, ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่

ทั้งนี้ KPD ระบุว่า ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายประการ อาทิ การหยุดดำเนินการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าจากนโยบายรัฐ การลดภาษีสินค้าไวน์ที่กระทบต่อยอดขายในร้านดิวตี้ฟรี การคืนพื้นที่บางส่วนของ ทอท. รวมถึงการขาดมาตรการเชิงรุกของภาครัฐในการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มชาวจีน

นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ภาวะสงครามระหว่างประเทศ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามสัญญา และต้องเผชิญภาวะขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยยืนยันว่าปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่เกิดจากการกระทำหรือความผิดของบริษัท

โดยบริษัทได้รับหนังสือดังกล่าวจาก KPD แล้ว ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อขอหารือแนวทางแก้ไขปัญหา เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไป หรือหาแนวทางยุติปัญหาด้วยความเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่าย ตามกรอบเงื่อนไขของสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ โดยปัจจุบัน ทอท.อยู่ระหว่างพิจารณาหารือร่วมกับ KPD รวมถึงดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อทำการศึกษา วิเคราะห์ และเสนอทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการบริหารจัดการกิจการดิวตี้ฟรีให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อ ทอท. ขณะเดียวกัน ยังต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการรายเดิมด้วย

ทั้งนี้ ทอท.ขอยืนยันว่า KPD ยังคงประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานของ ทอท.ตามปกติ และจะมีการพิจารณาทางเลือกต่อไปอย่างรอบคอบภายใต้กรอบสัญญาและประโยชน์ร่วมกัน

ขณะเดียวกันในวันนี้ (16 มิ.ย. 68) ช่วงเวลา 14:45-16:30 น. น.ส.ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. ท่าอากาศยานไทย พร้อมด้วยผู้บริหารร่วมแถลงข่าว แนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ภายใต้ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท. ณ ห้องประชุม ชั้น 7 อาคารสำนักงานใหญ่ AOT

โดยเนื้อหาและรายละเอียดการแถลงข่าวดังกล่าว ประเด็นหลักคือแนวทางการดำเนินงานของ AOT หลังจากบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี จำกัด หรือ KPD ยื่นหนังสือต่อ AOT เพื่อขอหารือแนวทางยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) สนามบินภูมิภาค 3 แห่ง คือ สนามบินภูเก็ต, สนามบินเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ หลังจาก KPD ได้รับสัญญาประกอบกิจการ ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. 2563 ถึง 31 มี.ค. 2576 หลังจากนี้ฝ่ายบริหาร AOT จะนำแนวทางแก้ปัญหาเข้าหารือกับคณะกรรมการ AOT ช่วงเช้าวันเดียวกัน (16 มิ.ย. 2568) ด้วยเช่นกัน

เบื้องต้นฝ่ายบริหารจะตั้งคณะกรรมการวิเคราะห์แนวทางเพื่อเจรจา และจ้างที่ปรึกษาที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ทางเลือกการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ภายใต้ความรับผิดชอบของ AOT ให้เหมาะสมกับการดำเนินการและเศรษฐกิจปัจจุบันและเพื่อความเป็นกลางในการวิเคราะห์สัญญาดังกล่าว และคาดว่าจะได้ผลศึกษาภายใน 60 วัน

แหล่งข่าวจากวงการกฎหมาย เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า มีความเป็นได้สูงว่า AOT อาจต้องมีการยื่นเงื่อนไขยึดแบงก์การันตีมูลค่าประมาณ 10,000-13,000 ล้านบาท ที่ธนาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งออกไว้ให้กับ AOT หลังจากบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัดได้รับสัมปทานดิวตีฟรีทั้ง 3 สนามบินดังกล่าว เนื่องจาก KPD อาจเข้าข่ายผิดเงื่อนไขการแบ่งจ่ายผลประโยชน์ให้ AOT ตามสัญญาฯ

ที่สำคัญเหตุผลของ KPD หยิบยกมาขอเลิกสัญญาบ้างข้ออาจดูไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะเรื่องการยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้าและการขอคืนพื้นที่ประกอบการของ AOT ทางกลุ่มคิง เพาเวอร์ฯ ได้รับเงินชดเชยกว่า 1,257 ล้านบาท และเรื่องผลกระทบอันเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิค-19 ทาง AOT มีการแก้ไขสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีและพื้นที่เชิงพาณิชย์ อยู่หลายครั้งจนเป็นเหตุทำให้รายได้ของ AOT จากส่วนดังกล่าว ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ระบุในหนังสือขอบอกเลิกสัญญาประกอบกิจการดิวตี้ฟรี 3 สนามบินว่า ตามสัญญาและบันทึกที่อ้างถึง บริษัทได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต, ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ จาก AOT นับตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. 2563-31 มี.ค. 2576

โดยอ้างเหตุผลว่า นับตั้งแต่เริ่มประกอบกิจการตามสัญญาเป็นต้นมา เกิดสถานการณ์ต่าง ๆ ถือเป็นเหตุสุดวิสัยและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยไม่ได้เกิดจากการกระทำและความผิดของบริษัทแต่ประการใดเลย เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นผลให้บริษัทไม่สามารถประกอบการและปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ตกลงไว้ อีกทั้งส่งผลให้บริษัทฯ ต้องประสบกับภาวการณ์ขาดทุนมาโดยตลอด

ประกอบด้วย 1) การหยุดดำเนินการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าจากนโยบายภาครัฐ 2) การลดภาษีสินค้าประเภทไวน์อันส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายภายในร้านค้าปลอดอากร 3) การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการของ AOT 4) การขาดมาตรการเชิงรุกของภาครัฐในการบริหารจัดการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ส่งผลให้การลดลงของนักท่องเที่ยวชาวจีน 5) สถานการณ์ภายในประเทศไทย อันส่งผลทางลบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวและจำนวนผู้โดยสาร 6) สถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 และ 7) สถานการณ์สงครามและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

นายนิตินัย ศิริสมรรถการ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (อดีตผู้อำนวยการใหญ่ AOT) เปิดเผยว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ได้ทำหนังสือถึงกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อขอหารือแนวทางยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) สนามบินภูมิภาค 3 แห่ง คือ สนามบินภูเก็ต, สนามบินเชียงใหม่ และสนามบินหาดใหญ่ แต่ขณะนี้ AOT ยังไม่มีการแจ้งกลับมาว่าจะนัดเจรจาเมื่อใด ส่วน KPD จะถูกเรียกค่าเสียหายจากการขอยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดหรือไม่ อย่างไรนั้น คงไม่สามารถตอบได้ โดยต้องขึ้นอยูกับการพิจารณาตีความในสัญญาของ AOT

“ทาง KPD มีการส่งหนังสือไปยัง AOT จริง เพื่อขอหารือเรื่องการยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรีท่าอากาศยานภูมิภาค ทราบว่าส่งไปช่วงปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่ผมจะเข้ามารับตำแหน่งวันที่ 4 มิ.ย. 2568 แต่มั่นใจว่าก่อนส่งหนังสือไป คิง เพาเวอร์ได้ศึกษารอบด้านเป็นอย่างดีแล้วว่า ด้วยเงื่อนไขปัจจุบันมีความเหมาะสมกว่า ที่จะขอยกเลิกสัญญา แต่ขณะนี้ AOT ยังไม่ได้นัดหมายมาว่าจะเจรจากันเมื่อไหร่” นายนิตินัย  กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า KPD มีการระบุสาเหตุแห่งการขอเจรจาเพื่อยกเลิกสัญญาดังกล่าวว่า นับจากสถานการณ์โควิด-19 AOT ได้ปรับวิธีการคำนวณค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (Minimum Guarantee) เป็นผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing Per Head) จำนวน 127.30 บาท โดยเรียกเก็บจากผู้โดยสารขาออก ผู้โดยสารผ่านและผู้โดยสารขาเข้า แต่ผลกระทบโควิด-19 ยังไม่คลี่คลายก็มีเหตุสงครามในหลายภูมิภาค สงครามการค้า และการกีดกันทางการค้า กำแพงภาษี การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้โดยสารจีนที่มีกำลังซื้อสูงลดลง ทำให้ยอดขายลดลง ส่งผลต่อยอดจำหน่ายและการประกอบการของ KPD และส่งผลให้ค่าตอบแทนที่ KPD ต้องชำระแก่ AOT อยู่ในเกณฑ์ที่สูงผิดปกติกว่าที่ควรจะเป็นและที่ได้เสนอไว้

ทั้งนี้ AOT ทำสัญญากับ KPD สำหรับกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ สัญญาที่ ทอท.DF-1-02/2562 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 มีอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่างวันที่ 28 กันยายน 2563 – วันที่ 31 มีนาคม 2574 ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำปีแรก 2,331 ล้านบาท ต่อมาแก้ไขสัญญา 2 ครั้ง คือวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 และวันที่ 26 สิงหาคม 2565 ล่าสุดปรับอายุสัญญาเป็นระหว่างวันที่ 28 กันยายน 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2576

จากงบแสดงฐานะการเงินบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด พบว่า รายได้รวมปี 2566 ที่ 33,592 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 652 ล้านบาท  ปี 2565 รายได้รวม 17,748 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,752 ล้านบาท ปี 2564 รายได้รวม 1,608 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 2,814 ล้านบาท  ปี 2563 รายได้รวม 8,119.04 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 1,833.18 ล้านบาท  และปี 2562 รายได้รวม 38,554 ล้านบาท กำไรสุทธิ 757 ล้านบาท

สินทรัพย์รวมปี 2566 อยู่ที่ 18,069 ล้านบาท ปี 2565 อยู่ที่ 12,257 ล้านบาท ปี 2564 อยู่ที่ 7,561 ล้านบาท ปี 2563 อยู่ที่ 8,527 ล้านบาท และปี 2562 อยู่ที่ 10,360.89 ล้านบาท หนี้สินรวมปี 2566 อยู่ที่ 16,459 ล้านบาท ปี 2565 อยู่ที่ 8,490 ล้านบาท ปี 2564 อยู่ที่ 7,482 ล้านบาท ปี 2563 อยู่ที่ 6,333 ล้านบาท และปี 2562 อยู่ที่ 6,334 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นปี 2566 อยู่ที่ 1,610 ล้านบาท ปี 2565 อยู่ที่ 3,767 ล้านบาท ปี 2564 อยู่ที่ 79 ล้านบาท ปี 2563 อยู่ที่ 2,193.70 ล้านบาท และปี 2562 อยู่ที่ 4,026.88 ล้านบาท

: AOT ผลกระทบจำกัด

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ยังแนะนำ “ซื้อ” หุ้น AOT ราคาเป้าหมาย 47.25 บาท แม้จะมีข่าวเรื่องการขอยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรีท่าอากาศยานภูมิภาคจาก KPD แต่จะเกิดผลกระทบกับ AOT ไม่มากนัก เพราะรายได้จากสัญญาดิวตี้ฟรีท่าอากาศยานภูมิภาคมีสัดส่วนน้อยมาก โดยปี 2567 อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนแค่ 2.2% ของรายได้รวม AOT เท่านั้น ทั้งนี้รายได้หลักจากสัญญาคิง เพาเวอร์นั้นอยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยปี 2567 AOT มีรายได้จากสัญญาดิวตี้ฟรีและสัญญาบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ของคิง เพาเวอร์ ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิประมาณ 15,000 ล้านบาท ส่วนท่าอากาศยานดอนเมือง มีรายได้พื้นที่ดิวตี้ฟรีปี 2567 ที่ 700 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน เชื่อว่าสุดท้ายแล้วจะมีการเจรจาระหว่าง AOT กับคิง เพาเวอร์ และอยู่ในลักษณะประนีประนอมปรับลดภาระแก่คิง เพาเวอร์ มากกว่าจะยกเลิกสัญญาและเปิดประกวดราคาใหม่ เพราะเหตุผลที่คิง เพาเวอร์ ระบุมานั้นสมเหตุสมผลและเป็นเหตุการณ์ที่สังคมรับทราบว่าเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงมิได้กล่าวอ้าง อีกทั้งหากเปิดประกวดราคาใหม่ AOT น่าจะได้รับการเสนอผลประโยชน์ตอบแทนที่น้อยกว่าคิง เพาเวอร์เคยเสนอให้ รวมทั้งต้องใช้เวลาหาผู้ประกอบการรายใหม่ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งจะทำให้ AOT สูญเสียรายได้จากช่วงเวลาดังกล่าวไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ในกรณีร้ายแรงที่สุด คือไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ และ AOT ต้องเปิดประกวดราคาใหม่ก็คาดว่าจะกระทบราคาพื้นฐานหุ้นของ AOT ประมาณ 5 บาท โดยราคาจะอยู่ที่ 42 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองเป็นการส่งสัญญาณเพื่อขอเจรจาผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำระหว่าง King Power และ AOT เนื่องจากผลกระทบการยกเลิก Inbound duty free การเรียกคืนพื้นที่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสงคราม ส่งผลให้ยอดผู้โดยสารและรายได้ Duty free ไม่เป็นไปตามคาดการณ์ เบื้องต้นเราประเมิน Downside หากมีการลดค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำไปเท่ากับปี 2562 (ต่ำกว่าสัญญาปัจจุบัน ​56% และเป็นระดับที่เราคาดว่า King Power น่าจะดำเนินธุรกิจต่อไปได้) ​เราประเมินราคาเป้าหมาย AOT จะอยู่ที่ 30 บาท

ทั้งนี้ประเมินว่า AOT มีรายได้จาก King Power ประมาณ 18,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 27% ของรายได้รวมแบ่งเป็น Duty Free สุวรรณภูมิ 11,000 ล้านบาท, พื้นที่เชิงพาณิชย์สุวรรณภูมิ 4,300 ล้านบาท, Duty Free สนามบินเชียงใหม่, หาดใหญ่, ภูเก็ต รวม 1,600 ล้านบาท  และ Duty Free สนามบินดอนเมือง 1,500 ล้านบาท

Back to top button