KTC รูดติดฟลอร์! กังวลฟอร์ซเซล หลักประกันบัญชีมาร์จิ้น 16.30% โบรกย้ำพื้นฐานแกร่ง

KTC ร่วงติดฟลอร์ หลังนักลงทุนกังวลแรงขายบังคับ (Forced Sale) จากหลักประกันบัญชีมาร์จิ้นที่สูงถึง 16.30% โบรกเกอร์ยังยืนยันพื้นฐานแข็งแกร่ง มองโอกาสซื้อสะสมในระยะยาว


ผู้สื่อข่าวรายงาน (23 มิ.ย.68) ณ เวลา 10:57 น. บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC อยู่ที่ระดับ 29.75 บาท ลบ 5.00 บาท หรือ 14.39% สูงสุดที่ระดับ 34.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 29.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 512.79 ล้านบาท ติดฟลอร์ตามเกณฑ์ชั่วคราวของตลาดหลักทรัพย์

สำหรับราคาหุ้นของ KTC ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจนติดฟลอร์ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์จากนักลงทุนว่าอาจเกิดการบังคับขายหลักทรัพย์ (Forced Sale) ในบัญชีมาร์จิ้น

ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อมูลจากรายงานสรุปหลักทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ เดือนพฤษภาคม 2568 พบว่า มีการนำหุ้น KTC มาใช้เป็นหลักประกันจำนวน 420,204,381 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 16.30% ของหุ้นทั้งหมด ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงพอสมควร

สถานการณ์ดังกล่าวจึงอาจสะท้อนถึงแรงขายจากบัญชีมาร์จิ้นที่กดดันราคาหุ้น และเป็นปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนควรจับตาอย่างใกล้ชิด

ด้าน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นของ KTC ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงเช้าวันนี้ (23 มิถุนายน 2568) แตะระดับราคาต่ำสุด (Floor) ที่ 29.75 บาท ลดลง 15% จากราคาปิดก่อนหน้า

ทั้งนี้ UOBKH ได้ตรวจสอบกับทางบริษัทฯ แล้ว และได้รับการยืนยันว่า ไม่มีปัจจัยพื้นฐานสำคัญใดเปลี่ยนแปลง โดย KTC ระบุว่าไม่ทราบสาเหตุของการปรับตัวลดลงดังกล่าว

ในช่วงเช้าวันเดียวกัน มีรายการซื้อขายแบบ Big Lot หุ้น KTC จำนวน 1 ล้านหุ้น ที่ราคา 34.75 บาท มูลค่ารวม 34.75 ล้านบาท ซึ่งราคาดังกล่าวต่ำกว่าราคาปิดเมื่อวันศุกร์เพียงเล็กน้อย จึงประเมินว่ารายการนี้ไม่น่าจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับการถูกถอดออกจากดัชนี MSCI Global Index ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 นั้น ทางบล.ยูโอบีฯ มองว่า ตลาดได้รับรู้และตอบรับไปแล้วก่อนหน้านี้ จึงไม่น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาหุ้นในวันนี้

UOBKH ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น KTC ให้ราคาเป้าหมาย 58 บาท โดยระบุว่าจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อรอข้อมูลหรือปัจจัยใหม่เพิ่มเติม

ด้านบล.เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ ประเมินว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ของ KTC ยังเติบโตได้ โดยมีกำไรสุทธิ 1,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อส่วนบุคคล รายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น และการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิต

ทั้งนี้ รายได้รวมอยู่ที่ 6,832 ล้านบาท เติบโต 1.0% จากรายได้ดอกเบี้ยลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น 3.4% และรายได้ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้น 7.25% จากการเติบโตของปริมาณธุรกรรม

ผลขาดทุนด้านเครดิตในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1,594 ล้านบาท ลดลง 5.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 2/2568 คาดว่ากำไรจะยังเติบโตในระดับเลขหลักเดียว (Low Single Digit) เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากพอร์ตสินเชื่อที่เติบโต และการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี โดยยังคงเป้าหมาย NPL ต่ำกว่า 2%

ทั้งนี้ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวกว่าที่คาด แต่ KTC ยังสามารถดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคาดกำไรสุทธิทั้งปี 2568 จะมากกว่า 7,437 ล้านบาท การใช้จ่ายผ่านบัตรเติบโต 10% และพอร์ตสินเชื่อรวมขยายตัวประมาณ 4-5% ขณะที่ NPL รวมยังอยู่ในกรอบไม่เกิน 2%

Back to top button