
THAI ดีดบวก! ลุ้นเคาะปันผล หลังลดพาร์ล้างขาดทุนสะสมฉลุย
THAI เด้ง 1% หวังจ่ายปันผลหลังลดพาร์ล้างขาดทุนสะสมแล้ว ลุ้นบาทแข็งค่าปีนี้ลดภาระต้นทุน ชี้ทำประกันความเสี่ยงน้ำมันแล้ว 30% วางเป้าทั้งปี cabin factor เฉลี่ย 78-80% มีอีบิทด้า มาร์จิ้น 21-24% ครึ่งปีแรกทำได้ 22.5%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 ส.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ณ เวลา 10:02 น. อยู่ที่ระดับ 12.30 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.82% สูงสุดที่ระดับ 12.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 12.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 56.01 ล้านบาท
นางเฉิดโฉม เทอดสถีรศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการบัญชี THAI เปิดเผยถึงแนวโน้มการจ่ายปันผลระหว่างกาลว่า ตามที่ THAI ได้ปรับโครงสร้างทุน มีการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) เพื่อล้างผลขาดทุนสะสมกว่า 1 แสนล้านบาท ให้กลับมาเป็นกำไรสะสมแล้ว ดังนั้นจึงต้องมีการพิจารณาอีกครั้งว่ามีโอกาสที่จะจ่ายปันผลระหว่างกาลหรือไม่
ส่วนสถานการณ์เงินบาทแข็งค่านั้น ยอมรับว่าจะกระทบต่อรายได้ของ THAI ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็จะส่งผลดีต่อค่าใช้จ่ายของ THAI ที่ส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน เช่น ค่าซ่อมบำรุง ค่าเช่าเครื่องบิน ค่าน้ำมัน ซึ่งการที่เงินบาทแข็งค่าก็จะส่งให้ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ลดลงด้วย และในปี 2568 THAI ได้พิจารณาทำประกันความเสี่ยง (Hedging) ราคาน้ำมันที่ 12 เดือน ไม่เกิน 30% ของปริมาณการใช้ต่อปี ซึ่งขณะนี้ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับไม่เกินอัตรา Hedging ดังกล่าว
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2568 (เม.ย.-มิ.ย.2568) ที่ปกติจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของทุกปี แต่ THAI กลับสามารถรักษาการเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยมีรายได้รวม 44,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงานไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว 6,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 501.2%
โดยมีรายการหลักคือ กำไรจากการยกเลิกสัญญาเช่าเครื่องบิน 4,980 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับปรุงรายการทางบัญชีจากการเปลี่ยนสัญญาจากเช่ามาเป็นซื้อเครื่องบินแบบโบอิ้ง B777-300ER จำนวน 4 ลำ ส่วนช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.2568) THAI มีรายได้รวม 96,452 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% มีกำไรสุทธิ 21,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 708.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นางเฉิดโฉม กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2568 THAI ตั้งเป้ามีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (cabin factor) ที่ 78-80% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก THAI มี cabin factor เฉลี่ย 80.2% และตั้งเป้าทั้งปีมีอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBITDA Margin) อยู่ในระดับ 21-24% ซึ่งครึ่งปีแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 22.5%
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THAI เปิดเผยถึงสาเหตุที่ THAI เปลี่ยนสัญญาจากเช่ามาเป็นซื้อเครื่องบินแบบโบอิ้ง B777-300ER จำนวน 4 ลำว่า เครื่องบินทั้ง 4 ลำดังกล่าวได้ทำการเช่าดำเนินงานมาแล้วประมาณ 10 ปี ซึ่ง THAI ดูแลรักษาตามรอบใช้งานเป็นอย่างดี ทำให้เครื่องบินยังสามารถนำมาให้บริการได้อีกยาวนาน ซึ่ง THAI พิจารณาแล้วเห็นว่าคุ้มค่า เพราะ B777-300ER เป็นเครื่องบินแบบลำตัวกว้างที่ THAI ให้บริการในเส้นทางยุโรปที่เป็นเส้นทางหลักของ THAI สัดส่วน 35% ของรายได้รวม
ทั้งนี้ เมื่อมีการปรับปรุงรายการทางบัญชีจากการเปลี่ยนสัญญาจากเช่ามาเป็นซื้อ จึงส่งผลให้ THAI มีกำไรจากการยกเลิกสัญญาเช่าเครื่องบิน 4,980 ล้านบาท เพราะในขณะที่ THAI เช่าดำเนินการนั้น จะต้องมีการตั้งสำรองค่าซ่อมบำรุง เพราะตามสัญญาเช่า THAI ต้องซ่อมบำรุงเครื่องบินเอง จึงต้องทำให้ผู้เช่าเชื่อมั่นว่า THAI มีความสามารถในการซ่อมบำรุงได้ตามรอบการใช้งาน หากครบกำหนดเช่าและส่งคืนเครื่องบิน ผู้เช่าจะสามารถนำไปให้รายอื่นเช่าต่อได้ ดังนั้น เมื่อปรับปรุงรายการจากเช่ามาเป็นซื้อ รายการตั้งสำรองค่าซ่อมบำรุงดังกล่าวจึงหายไปและกลับรายการมาเป็นกำไรทางบัญชีแทน
สำหรับเครื่องบิน A380 จำนวน 6 ลำนั้น THAI ได้ทำการขายไปทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว โดยการขาย A380 ดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการขายเครื่องบินปลดระวางทั้งหมด 18 ลำ ประกอบด้วย A380, B777-200 จำนวน 6 ลำ และ B777-300 จำนวน 6 ลำ ซึ่งได้ลงนามในสัญญาซื้อขายเรียบร้อยแล้ว