AECS ชี้เป้า SET ระยะ 12 เดือนข้างหน้า 1,530 จุด มองต้นทุนความเสี่ยงลด
บล.เออีซี ชี้เป้า SET ระยะ 12 เดือนข้างหน้า 1,530 จุด หลังมองต้นทุน ความเสี่ยงลดลง แนะลงทุนเจาะใน Sub Sector ที่มีความโดดเด่น โดยอุตสาหกรรมที่มีความแข็งแกร่ง อาทิ กลุ่มสายการบิน,พลังงานทด แทน,กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ,กลุ่มอสังหาริมทรัพย์-รับเหมาฯ
นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เออีซี (AECS) เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้าหมาย SET ใหม่มาอยู่ที่ระดับ 1,530 จุดในระยะ 12 เดือนข้างหน้า โดยมองว่าต้นทุนความเสี่ยงของไทยที่ลดลง 1.8% รอบ 2 เดือนที่ผ่านมา ได้ส่งผลบวกต่อการประเมินมูลค่าต่อตลาดหุ้นไทย โดยสามารถปรับเป้าหมายของต้นทุนส่วนผู้ถือหุ้นไปที่ 11% หรือ Imply ผลบวกต่อราคาเป้าหมายดัชนีที่ 80 จุด
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายดัชนีใหม่จะพบว่า SET ยังซื้อขายด้วยระดับ P/E 17.4 เท่า และ PBV 1.9 เท่า
ภายหลังประเมินเหตุการณ์วิกฤตการเงินโลก 3 เหตุการณ์ เช่น ปี 2551 วิกฤตการเงินของสหรัฐ ต่อมาในปี 2554 วิกฤตหนี้กรีซ ส่งผลกระทบต่อการลงทุนทั้งระบบ แต่สำหรับเหตุการณ์ Brexit ที่เกิดขึ้นกลับส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในเอเชียน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
หากประเมินผลกระทบต่อประเทศไทย ซึ่งพิจารณาจากทั้ง 3 เหตุการณ์ อาทิ วิกฤตการเงินของสหรัฐ ในปี 2551 พบว่า ต้นทุนความเสี่ยงของไทย (CRP) ปรับเพิ่มไปที่ 13.5% ส่วนในปี 2554 วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป ส่งผลให้ CRP ของไทย ปรับเพิ่มไปที่ 16.3% แต่ในเดือนมิ.ย. ปี 2559 เหตุการณ์ Brexit ส่งผลให้ CRP ของไทยปรับลงมาที่ 7% หรือลดลง 1.8% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล. เออีซี กล่าวเพิ่มว่า นอกจากนี้ยังคงมีปัจจัยที่น่าสนใจ และมีผลต่อการลงทุนในช่วงไตรมาส 3/59 เช่น โครงการที่กำลังจะเริ่มดำเนินการผลิตมีโครงการ UHV ของ IRPC, โครงการพลังงานลมของ EA, GUNKUL และในไตรมาสนี้ยังมีการเปิดประมูล โดยโครงการที่มีความแน่นอนแล้ว คือ โครงการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในเดือนส.ค., การประมูลรถไฟฟ้าและรถไฟทางคู่, การประมูลโครงการปรับสายไฟฟ้าลงดิน และโครงการวางเครือข่าย Fiber
รวมถึงการเร่งเปิดโครงการใหม่ของกลุ่มที่อยู่อาศัย โดยสัดส่วนการเปิดโครงการเฉลี่ยของกลุ่มที่อยู่อาศัยคิดเป็น 70% ของแผนการเปิดโครงการในปี 2559 และการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ในธุรกิจโรงไฟฟ้า และการได้กำลังการผลิตในโครงการพลังงานทดแทนเพิ่ม
ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุน การเลือกอุตสาหกรรมเจาะไปใน Sub Sector ที่มีความโดดเด่นโดยอุตสาหกรรมที่มีความแข็งแกร่ง โดยเลือกกลุ่มสายการบิน, พลังงานทดแทน, กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (ที่อยู่อาศัยและเพิ่มกลุ่มรับเหมาฯ) และเครื่องดื่ม ส่วนการลงทุนระยะยาวที่มองว่ามีส่วนต่างจากราคาเป้าหมายสูงได้แก่ BA, EA