PDG รักษากำไรได้อยู่

PDG ยังคงรับอานิสงส์จากยอดขายขวดน้ำดื่มที่ขยายตัวต่อเนื่องจากการได้ลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นอีก 1 ราย (คิดเป็นประมาณ 7% ของรายได้ขวดน้ำดื่ม) ซึ่งไปชดเชยกับยอดขายขวดน้ำผลไม้ที่ยังชะลอตัว คาดกำลังการผลิตมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 72% จาก 68% ในไตรมาส 3 ปี 59 และด้วยราคา PET ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักไม่จางจากไตรมาสที่ผ่านมามากนัก 34 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ยอดขายขวดน้ำมันพืชให้กับกลุ่ม TVO ที่เข้าสู่ High Season


–คุณค่าบริษัท–

 

บริษัท พรอดดิจิ จำกัด (มหาชน) หรือ PDG ยังคงรับอานิสงส์จากยอดขายขวดน้ำดื่มที่ขยายตัวต่อเนื่องจากการได้ลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นอีก 1 ราย (คิดเป็นประมาณ 7% ของรายได้ขวดน้ำดื่ม) ซึ่งไปชดเชยกับยอดขายขวดน้ำผลไม้ที่ยังชะลอตัว คาดกำลังการผลิตมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 72% จาก 68% ในไตรมาส 3 ปี 59 และด้วยราคา PET ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักไม่จางจากไตรมาสที่ผ่านมามากนัก 34 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ยอดขายขวดน้ำมันพืชให้กับกลุ่ม TVO ที่เข้าสู่ High Season

ดังนั้น นักวิเคราะห์มองว่ายิ่งเป็นไปได้สูงที่กำไรสุทธิไตรมาส 4 ปี 59 จะสร้างสถิติสูงสุดใหม่ โดยเบื้องต้นคาดไว้ที่ 26-27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 15-17% ทั้งจากไตรมาสก่อน และจากงวดเดียวกันของปีก่อน

ที่สำคัญบริษัทมีการขยายธุรกิจไปผลิตหลอดพรีฟอร์มจำหน่ายให้กับผู้ผลิตขวด PET และผู้ผลิตขวดน้ำดื่มที่มีเครื่องเป่าเป็นของตัวเอง เป็นโครงการที่ PDG ระบุไว้ตั้งแต่เข้า MAI ในปี 2557 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโรงงานในไตรมาส 1 ปี 60 และรับรู้รายได้ในไตรมาส 4 ปี 60 ใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท (ไม่กระทบโครงสร้างเงินทุนเพราะมีเงินสด ณ 9 เดือนแรกอยู่ 186 ล้านบาท) ซึ่งการผลิตหลอดพรีฟอร์มเป็นกระบวนการแปลงเม็ดพลาสติกเป็นหลอดก่อนจะไปเป่าขึ้นรูปเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ แม้บริษัทที่ผลิตขวดส่วนใหญ่สามารถผลิตพรีฟอร์มได้เองอยู่แล้ว

การขยายธุรกิจของ PDG ครั้งนี้น่าสนใจตรงที่ (1) ตลาดพรีฟอร์มมีผู้ผลิตเพื่อจำหน่ายให้แก่บริษัทอื่นไม่ถึง 20 ราย เทียบกับตลาดขวดบรรจุภัณฑ์ที่มีผู้ผลิตทั้งรายเล็กและใหญ่เกือบ 1,000 ราย (2) มีโอกาสเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม โดยนอกจากเป็นการเปลี่ยนคู่แข่งเป็นคู่ค้าแล้ว อาจทำให้ต้นทุนการผลิตของทั้งห่วงโซ่อุปทานลดลงจากการให้ PDG เป็นผู้ผลิตหลอดพรีฟอร์มจำนวนมากให้แทน

และ (3) กระบวนการผลิตที่สั้นลงจะส่งผลดีต่อกระแสเงินสดและสภาพคล่องของกิจการ เบื้องต้นคาดว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มรายได้และกำไรสุทธิในปี 2561 ที่ 15% และ 10% จากคาดการณเดิม ซึ่งยังไม่รวมอยู่ในประมาณการที่คาดว่ากำไรสุทธิปี 2560-2562 จะโตเฉลี่ย 6% ต่อปี

ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 157.66 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 156.28 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับการลดลงของราคาวัตถุดิบ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 23.02 ล้านบาท หรือ 0.09 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 14.53 ล้านบาท หรือ 0.05 บาทต่อหุ้น

ส่วนผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 473.24 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 519.19 ล้านบาท แต่บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 66.20 ล้านบาท หรือ 0.25 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 60.19 ล้านบาท หรือ 0.22 บาทต่อหุ้น ถือว่า บริษัทประคับประคองผลกำไรได้ดีอยู่

ในขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่านอกจาก PDG จะมีปัจจัยหนุนระยะสั้นจากผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 59 ที่มีแนวโน้มสร้างจุดสูงสุดใหม่แล้ว การขยายธุรกิจใหม่และการเปิดตลาดต่างประเทศ จะทำให้อัตราการเติบโตหลังจากนี้ดูโดดเด่นมากขึ้น จากเดิมที่น่าสนใจเฉพาะผลตอบแทนจากปันผลในระดับ 5-6% ต่อปี จึงยังแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2560 เท่ากับ 5.30 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่                 

1. บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) 86,000,000 หุ้น 31.85%

2. บริษัท น้ำมันบริโภคไทย จำกัด 30,000,000 หุ้น 11.11%

3. บริษัท เชียร์(ประเทศไทย) จำกัด 12,100,000 หุ้น 4.48%

4. นายวิสุทธิ วิทยฐานกรณ์ 12,000,000 หุ้น 4.44%

5. น.ส.สุดารัตน์ วิทยฐานกรณ์ 6,000,000 หุ้น 2.22%

 

รายชื่อกรรมการ

1.รศ. ประยูร บุญประเสริฐ ประธานกรรมการ

2.รศ. ประยูร บุญประเสริฐ กรรมการอิสระ

3.รศ. ประยูร บุญประเสริฐ กรรมการตรวจสอบ

4.นาย ธงชัย ตันสุทัตต์ กรรมการผู้จัดการ

5.นาย ธงชัย ตันสุทัตต์ กรรมการ

 

Back to top button