SMIT รายได้โต10-15%บริหารงาน-สร้างการเติบโต

SMIT ตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2558 ไว้อย่างระมัดระวังมาก โดยคาดว่าจะเติบโตประมาณ 10-15% ซึ่งมองว่าแนวโน้มของธุรกิจเครื่องกลที่จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมจะเติบโตขึ้น


บริษัทสหมิตรเครื่องกล จำกัด (มหาชน) หรือ SMIT ประกอบธุรกิจ นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม วัตถุดิบ เครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท โดยแบ่งเป็นกลุ่มเหล็กแข็ง กลุ่มเครื่องจักรในการทำแม่พิมพ์ และกลุ่มเครื่องจักรและอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมไม้ เฟอร์นิเจอร์ และใบมีดอุตสาหกรรม และกลุ่มผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า

 

“ชัยศิลป์  แต้มศิริชัย” ประธานกรรมการ SMIT เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 จะเป็นช่วงที่ถือว่าต้องเหนื่อย เพราะจะต้องดำเนินการหาลูกค้าให้มากกว่าเดิม เพราะธุรกิจจำหน่ายเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมนั้น จะไม่ค่อยการเปลี่ยน หรือว่าพัฒนาเครื่องใหม่ๆ บริษัทจึงจำเป็นต้องเพิ่มกลยุทธ์ด้านการทำงาน โดยให้บริการหลังการขายกลับลูกค้าที่ซื้อเครื่องจักรของบริษัทไปใช้ ซึ่งจะมีในลักษณะการชุบเคลือบเครื่องจักร เพื่อป้องกันการเป็นสนิมหรือการสึกหรอต่างๆ รวมถึงจะพยายามขายสินค้าที่บริษัทมีอยู่โดยจะไม่มีการนำเข้าเครื่องจักรใหม่ ๆ เข้ามา

สำหรับรายได้ในปี 2558 บริษัทตั้งเป้าหมายไว้อย่างระมัดระวังมาก โดยคาดว่าจะเติบโตประมาณ 10-15% ซึ่งมองว่าแนวโน้มของธุรกิจเครื่องกลที่จะนำไปใช้ในอุตสาหกรรมจะเติบโตขึ้น เนื่องจากนักลงทุนหรือลูกค้าที่อยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มมีความเชื่อมั่น และสนใจที่จะมีการลงทุนเครื่องจักร เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิมที่มีอยู่ ภายหลังจากที่สถานการณ์การเมืองภายในประเทศเริ่มมีบรรยากาศของการเดินหน้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2558

ส่วนลูกค้าส่วนใหญ่ที่สั่งซื้อเครื่องจักรจากบริษัทเป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมีทั้งบริษัทที่ผลิตสีเคลือบรถยนต์และลูกค้าที่ผลิตชิ้นบางประเภท ประกอบกับลูกค้าในอุตสาหกรรมพลาสติกที่ต้องการใช้เครื่องจักรที่ผลิตแม่พิมพ์ รวมถึงลูกค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับออเดอร์ให้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบใหม่ ๆ

 

ประธานกรรมการ SMIT กล่าวว่า บริษัทพยายามที่พัฒนาให้องค์กรให้มีประสิทภาพ และลดค่าใช้จ่ายต่างที่พอจะทำได้ รวมถึงจะช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากกระทรวงพลังงาน เพื่ออนุญาตให้ดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนด้านโซลาร์รูฟท็อป จำนวน 2.4 เมกะวัตต์

โดยบริษัทจะใช้พื้นที่หลังคาโรงงานที่จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 6 หลัง ซึ่งจะมูลค่าการลงทุนเบื้องต้นจะใช้เงินประมาณ 80-90 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแผนการลงทุนในโครงการโซลาร์ฟาร์มที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี โดยบริษัทมีพื้นที่ประมาณ 300 ไร่ ส่วนโซล่าร์ฟาร์มนั้น บริษัทมีที่ดินเหลือที่ซื้อไว้ว่า จะทำโรงงานเพิ่มหรือไม่ก็นำไปขาย แต่เมื่อพอมีโครงการใหม่ ๆ เข้ามาก็ทำให้คณะกรรมพิจารณากันว่า จะทำอย่างไรที่จะช่วยให้มีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ โดยที่ไม่ต้องมีปัจัยเสี่ยงอะไรมากนัก

ทั้งนี้โอกาสในการทำงานต่าง ๆ มีมาก แต่ก็มีอุปสรรคในเรื่องของการทำงาน โดยเฉพาะบุคลากรที่ยังคงมีปัญหาการขาดแคลน และการที่มีความรู้ความสามารถไม่เพียงพอกับงานที่ปฎิบัติ จึงทำให้บริษัทจะเน้นพัฒนาพนักงงาน โดยให้ความรู้ในด้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของบุคคล

 

ทั้งนี้ ประเมินว่า การที่บริษัทมีพนักงงานที่มีความรู้ความสามารถจะมีช่วยผลักดันให้บริษัทจะยกระดับให้เป็นบริษัทชั้นนำได้ โดยที่จะเติบโตควบคู่ไปกับการเติบโตของบริษัท อีกทั้งเมื่อมีการพัฒนาบุคลกรแล้วยังไม่เพียงพอ โดยจะใช้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาต่อยอดเพื่อพัฒนาสินค้าของบริษัทให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น

 เมื่อทั้งคนและสินค้ามีคุณภาพก็จะเป็นการพาองค์กรให้เติบโตไปด้วยกัน สินค้าก็จะเป็นที่ต้องการของลูกค้า โดยที่เราไม่ต้องไปเจรจากับลูกค้าให้เหนื่อย ซึ่งลูกค้าจะต้องมาหาบริษัทเพื่อจะนำเครื่องจักรที่มีคุณภาพไปใช้งาน เมื่อจะต้องเพิ่มมูลค่าในสิ่งต่างๆแล้วบริษัทมีความพร้อมทั้งในด้านของแหล่งเงินทุนต่างๆ แล้วโดยมีกระแสเงินสดในมือประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำออกมาใช้ในโครงการต่างๆ ได้ทันที ทั้งในโครงการโซล่าร์ ฟาร์มและโซล่า รุฟท็อป

ทั้งนี้ เมื่อมีการลงทุนแล้วบริษัทยืนยันที่จ่ายปันผลต่อเนื่องปีละ 2 ครั้ง ตามนโยบายไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ เนื่องจากบริษัทมีผลกำไรมาโดยตลอดไม่เคยขาดทุนเลย ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทจ่ายมากกว่า 40% ของกำไรสุทธิ โดยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) 5%

Back to top button