พาราสาวะถี

กลุ่มที่แห่แหนกันไปจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่เวลานี้ นอกเหนือจากการชูจุดขายด้วยการโชว์ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนดีแห่งยุคที่พรรคทั้งหลายจะเสนอให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย ไม่ว่าจะด้วยวิธีเป็น 1 ใน 3 ของรายชื่อพรรคหรือนายกฯคนนอกก็ตาม แต่มีอีกอย่างที่ควบคู่กันมาไม่รู้ว่าเป็นสูตรสำเร็จของพรรคใหม่เหล่านี้หรือเปล่า


อรชุน

กลุ่มที่แห่แหนกันไปจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่เวลานี้ นอกเหนือจากการชูจุดขายด้วยการโชว์ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนดีแห่งยุคที่พรรคทั้งหลายจะเสนอให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย ไม่ว่าจะด้วยวิธีเป็น 1 ใน 3 ของรายชื่อพรรคหรือนายกฯคนนอกก็ตาม แต่มีอีกอย่างที่ควบคู่กันมาไม่รู้ว่าเป็นสูตรสำเร็จของพรรคใหม่เหล่านี้หรือเปล่า

นั่นก็คือ การอวดสรรพคุณว่าพรรคของตัวเองมีอดีตนายทหารยศพลเอก พลโทมาร่วมสังกัด ถือเป็นการแสดงแสนยานุภาพหวังจะเรียกคะแนนนิยมหรือเชิญชวนให้คนที่ต้องการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้ตัดสินใจกันง่ายขึ้น แต่เป้าหมายหลักคงน่าจะเป็นการแสดงให้คนที่จะสืบทอดอำนาจเห็นว่า นี่คือพวกเดียวกันเอง หลังเลือกตั้งห้ามทอดทิ้งกันเป็นอันขาด

ต้องเข้าใจความเป็นคนไทยและนักการเมืองแบบไทยๆ ไม่ว่าจะรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่า ต้องสานสัมพันธ์และทอดไมตรีไปยังผู้มีอำนาจ ณ ปัจจุบันไว้ก่อน โดยไม่สนใจว่าที่มาของผู้ที่มีอำนาจนั้นเป็นอย่างไร ยิ่งในยุคนี้การมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด บวกกับกฎหมายต่างๆที่องคาพยพแม่น้ำ 5 สายยกร่างกันมากับมือ ถ้าเป็นพวกกันแล้ว โอกาสที่จะถูกเล่นงานหรือได้รับผลกระทบจากกฎ กติกาเหล่านั้นก็น้อยตามไปด้วย

ส่วนพรรคการเมืองเก่า 69 พรรค สัญญาณที่ส่งมาตอนแรกจากฝ่ายมีอำนาจมิถุนายนนี้จะเชิญคุยกับรัฐบาลและคสช. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดวันเลือกตั้ง แต่ฟังบิ๊กตู่หลังประชุมครม.ที่เพชรบุรี ไม่ใช่แค่นั้น จะเป็นการเชิญมาเพื่อขอรับฟังแนวคิด นโยบายของแต่ละพรรคว่าสอดรับสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติที่จะเกิดขึ้นหรือไม่

น่าสนใจตรงนี้ การจะนำเสนอเรื่องใดๆ เพื่อให้ประชาชนเลือกเป็นสิทธิและอิสระของแต่ละพรรคการเมืองไม่ใช่หรือ และถามต่อว่ามีความจำเป็นที่จะต้องรายงานหรืออธิบายให้ผู้มีอำนาจ ซึ่งถูกมองว่าก็จะเป็นอีกหนึ่งคู่แข่งเวลาชิงชัยในสนามเลือกตั้ง น่าแปลกอยู่เหมือนกัน จะบอกว่าพูดผิดคิดไม่ทันก็ใช่ที่ เพราะท่านผู้นำยังย้ำอีกว่า คนที่จะเข้ามาบริหารประเทศหลังเลือกตั้งต้องรู้เรื่องงบประมาณด้วย

แหม! ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครฉลาดเกินรัฐบาลเผด็จการคณะนี้อีกแล้ว โดยเฉพาะการจัดวางงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่มีรัฐบาลใดในอดีตจะจัดสรรงบให้มากมายมหาศาลได้เท่านี้อีกแล้ว ขณะที่งบที่จะเจียดให้กับผู้ด้อยโอกาสอย่างโครงการหลักประกันสุขภาพ กลับมีการตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำอีก ต้องเป็นประเภทนี้เท่านั้นใช่หรือไม่ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านงบประมาณ

ยิ่งฟังท่านผู้นำที่ยืนยันว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย 99.99 เปอร์เซ็นต์ แทนที่จะทำให้คนเข้าใจและมองเห็นอนาคตของบ้านเมือง กลับเป็นเรื่องตรงข้าม เพราะทุกอย่างที่ว่ามามันเป็นเรื่องของข้ายิ่งใหญ่และเก่งกาจสามารถแต่เพียงผู้เดียว จากนี้ไปใครจะทำอะไรไม่ว่าจะมาด้วยวิธีไหน ผ่านการเลือกตั้งของประชาชนหรือไม่ ต้องเดินตามสิ่งที่อำนาจเผด็จการขีดเส้นให้เท่านั้น

ทำไงได้ ในเมื่อมีคนจำนวนหนึ่งลงทุนเอาชะตากรรมของบ้านเมืองไปเป็นเครื่องต่อรองแล้วเปิดประตูให้อำนาจเผด็จการเข้ามาบริหารประเทศ เพราะการกลัวเสียของสูญเปล่าเขาจึงจัดเต็ม ชนิดที่พวกมือถือสากปากถือศีลทั้งหลายได้แต่อ้าปากตาค้างเพียงอย่างเดียว ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยไม่ต้องพูดถึง กระดิกกระเดี้ยลำบาก ถูกจับขึงพืดด้วยอำนาจพิเศษและมาตรายาวิเศษ

คนอยากเลือกตั้งแท้ๆ ถูกตั้งข้อหายุยงปลุกปั่น ดีที่ไม่บอกว่าเป็นพวกล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะเรียกเสียงฮาจากนานาอารยะประเทศเข้าไปใหญ่ นอกจากจะต้องบริหารจัดการทั้งอำนาจ ภาวนาให้เศรษฐกิจฟื้นคนพอมีจะกินไม่อดอยากปากแห้ง สิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องจัดการเพื่อไม่ให้สั่นคลอนอำนาจของตัวเองคือพวกเห็นต่างนี่แหละ ลำพังกลุ่มการเมืองยังพอรับมือได้ เนื่องจากแกนนำหลายรายมีชนักปักหลังอยู่

แต่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเรียกร้องประชาธิปไตยของประเทศทุกครั้งที่ผ่านมา ตรงนี้แหละที่ถือเป็นปัญหาใหญ่ ครั้นจะใช้ไม้แข็งเล่นงานเด็ดขาด ก็เกรงว่าจะถูกต่างชาติรวมตัวกันกดดันสารพัดวิธี พออ่อนข้อหน่อยก็ถูกกองเชียร์ด่าทอต่อว่า ต้องตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก การเปิดยุทธวิธีส่งคนลงพื้นที่ผ่านโครงการไทยนิยมยั่งยืน จึงถือเป็นทางเลือกบนความหวังที่เชื่อว่าจะสามารถล้างสมองคนต่างจังหวัดโดยเฉพาะพื้นที่เป้าหมายอีสานและเหนือให้หันมาเป็นพวกเผด็จการได้

การเพิ่มอำนาจให้กอ.รมน.พื้นที่ก่อนหน้านั้น เมื่อมาผนวกเข้ากับการระดมคนลงพื้นที่ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ชุมชน จึงเป็นการการันตีสิ่งที่มีการตั้งข้อสังเกตก่อนหน้านั้น เป็นการวางแผนเพื่อหาเสียง สร้างแนวร่วมและกระชับอำนาจของคณะเผด็จการ เพื่อให้มั่นใจว่าในช่วงของการเลือกตั้งจะสามารถล็อกผล ให้พรรคในเครือข่ายเข้าวิน และบอนไซพรรคนายใหญ่ได้สำเร็จ

หมากกลที่วางไว้นั้น หากเป็นฝ่ายตรงข้ามมาอธิบายคงได้รับความเชื่อถือน้อย แต่ล่าสุด บรรยง พงษ์พานิช อดีตซูเปอร์บอร์ดของรัฐบาลคสช. ออกมาวิพากษ์ภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างถึงกึ๋นที่สุด ถึงจะวางหมากวางกับดักค่ายกลสารพัด จนทำให้คนอื่นยากที่จะได้เข้ามาบริหาร และถ้าเกิดบังเอิญฟลุคเข้ามาได้ก็บริหารไม่ได้ ถึงแม้ท่านจะทำได้ดีกว่าคนอื่น แต่ค่ายกลกับดักที่วางไว้เองนั่นแหละ จะย้อนมาฉุดดึงให้การบริหารงานไม่ราบรื่น ติดโน่นติดนี่ไปหมดตามกฎตามกรอบที่วางไว้เอง

เช่นกัน การที่ท่านไม่สะดวกตนไม่เห็นใจหรอก แต่ประเทศและประชาชนจะเดือดร้อนชะงักงันไปด้วยทั้งหมด ลองคิดดูว่ารัฐที่เพิ่มอำนาจ ดึงทรัพยากรดึงบทบาทเกือบทุกอย่างมารวมศูนย์อยู่ที่ตัว แล้วดันเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ขับเคลื่อนอะไรไม่ได้ มันจะเป็นเรื่องน่ากลัวสักเพียงไหน ยิ่งถ้าท่านทู่ซี้อยู่นานเท่าใด เราก็จะย่ำเท้าอยู่กับที่นานเท่านั้น

หากจะสรุปให้เห็นภาพต้องบอกว่า การจะกลับมาภาคใหม่ของหัวหน้าคณะเผด็จการคสช. เป็นโจทย์ที่ยากกว่าเดิมหลายเท่าตัว คำถามแรกที่จะต้องคิดคือการบริหารโดยไม่มีมาตรา 44 นั้นผลจะเป็นอย่างไร คงเป็นเรื่องที่ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง ไหนจะต้องเผชิญกับกระบวนการตรวจสอบที่ต้องเข้มข้นและมีปากเสียงมากกว่าเดิม นี่เป็นการมองภายใต้บริบทที่ว่าประเทศไทยมีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า เพราะถ้าอ่านจากท่วงทำนองของผู้มีอำนาจ โอกาสจะไม่มีเลือกตั้งนั้นยังสูงกว่าการเดินตามโรดแมปหลายเท่าตัว

Back to top button