จาก  AOT ถึง PTT

มีคำถามว่า หลังจาก ปตท. หรือ PTT แตกพาร์แล้วราคาหุ้นจะไปต่อหรือไม่ เลยมีการยกตัวอย่างหุ้น บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) มาเปรียบเทียบหลังจากได้แตกพาร์จาก 10 บาท ลงมาเหลือ 1.00 บาท ไปเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มจาก 1,428,570,000 หุ้น ไปเป็น 14,285,700,000 หุ้น


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร

มีคำถามว่า หลังจาก ปตท. หรือ PTT แตกพาร์แล้วราคาหุ้นจะไปต่อหรือไม่

เลยมีการยกตัวอย่างหุ้น บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) มาเปรียบเทียบหลังจากได้แตกพาร์จาก 10 บาท ลงมาเหลือ 1.00 บาท ไปเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560

ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มจาก 1,428,570,000 หุ้น ไปเป็น 14,285,700,000 หุ้น

ราคาหุ้น AOT ก่อนแตกพาร์อยู่ที่ 390 บาท

และหลังแตกพาร์ หรือการซื้อขายวันแรกในราคาพาร์ใหม่ (1.00 บาท) อยู่ราวๆ 38.00–39.00 บาท

ราคาหุ้น AOT เคลื่อนไหวในกรอบ 38.00–41.00 นานกว่า 6-7 เดือน ก่อนที่จะค่อยๆ ขยับขึ้นมา และล่าสุดเมื่อวานนี้ (26 มี.ค. 2561) ราคามาอยู่ประมาณ 68.00–69.00 บาท หรือเทียบเท่า 680–690 บาท (ก่อนแตกพาร์)

หากนับช่วงเวลาประมาณ 1 ปีที่ใช้พาร์ใหม่

ราคาหุ้น AOT ขยับขึ้นมาแล้ว 79%

บริษัทที่แตกพาร์ส่วนใหญ่เพราะเห็นว่าราคาหุ้นขึ้นมาสูงแล้ว

และหากปล่อยไปแบบนี้ อาจจะทำให้ “สัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยลดลง” จากราคาหุ้นที่มีมูลค่ามากขึ้น เพราะลงทุนซื้อหุ้นแต่ละครั้งต้องใช้เงินจำนวนมาก

เช่น  AOT ราคาหุ้นก่อนแตกพาร์อยู่ที่ 390 บาท

หากรายย่อยต้องการซื้อหุ้น 100 หุ้น ก็ได้ต้องใช้เงิน 39,000 บาท

หรือหากซื้อ 1,000 หุ้น ก็จะใช้เงินมากถึง 390,000 บาท ทำให้โอกาสที่รายย่อยจะเข้าถึงหุ้นเหล่านี้ยากขึ้น

AOT เป็นหุ้นที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนทั้งประเภทสถาบัน ต่างประเทศและรายย่อย

ในด้านของพื้นฐานถูกจัดอยู่ในระดับที่ดี หรือภาษาวัยรุ่นในโซเชียลเน็ตเวิร์กเขาบอกว่า “ปังมาก”

ปัจจุบัน AOT ที่สนามบินที่อยู่ภายใต้การบริหารจำนวน 6 แห่ง

คือ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย หาดใหญ่ และภูเก็ต

สนามบินเกือบทุกแห่ง (หรือทุกแห่ง) มีผู้โดยมามาใช้บริการเกินความจุไปมากแล้ว

ทำให้ AOT อยู่ระหว่างการขยายสนามบินเกือบทุกแห่งที่อยู่ภายใต้การบริหารทั้งสุวรรณภูมิ (เฟส 2) ดอนเมือง ภูเก็ต และเชียงใหม่ เพื่อรองรับผู้โดยสารที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ในด้านผลประกอบการของ AOT มีกำไรเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี

มีนักวิเคราะห์มองว่าราคาหุ้น AOT มีโอกาสที่จะขึ้นไปถึง 100 บาท

เหตุผลก็คือ AOT มีสตอรี่หรือปัจจัยบวกที่เข้ามาหนุนต่อเนื่อง และรวมถึงการเตรียมรับโอนสนามบินอื่นๆ เช่น อุดรธานี ที่จะเข้ามาอยู่ภายใต้การบริหารของ AOT

ส่วนพี/อีที่สูงกว่า 44-46 เท่า ก็ไม่ได้มีนัยสำคัญ

นั่นเพราะหุ้น AOT ยังมีอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นทุกปี หรือหุ้นยังมี Growth สูงมาก

กลับไปที่หุ้น ปตท. หรือ  PTT กันครับ

ก่อนที่จะมีการประกาศแตกพาร์ ราคาหุ้น PTT อยู่ระหว่าง 485–490 บาท

หลังจากนั้น ราคาหุ้นได้ทะยานขึ้นต่อเนื่อง และขึ้นไปสูงสุด 588 บาท ก่อนที่จะปรับฐานลงมาอยู่ 550-560  บาท

ราคาหุ้น PTT ปรับขึ้นมาแล้ว 15-16%

ปัจจุบัน PTT มีหุ้นที่จดทะเบียนไว้กับตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 2,856,233,625 ล้านหุ้น (พาร์ 10 บาท)

หากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายนนี้ อนุมัติเรื่องแตกพาร์ลงมาเหลือ 1 บาท จะทำให้จำนวนหุ้น PTT เพิ่มขึ้น เป็น 28,562,996,250 หุ้น (พาร์ 1 บาท)

แต่หากดูจากหุ้นที่แตกพาร์ก่อนหน้านี้

ก็จะพบว่า หลังจากซื้อขายในราคาพาร์ใหม่ ราคาหุ้นนั้นๆ จะปรับลง หรือขายทำกำไร

แล้วราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ สักพัก ก่อนที่ทำแรลลี่ เช่น  AOT นั่นแหละ

กรณีของ ปตท. นักวิเคราะห์เขามองว่าสตอรี่เชิงบวกมีมากกว่า AOT เยอะ

ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายกันที่พี/อี 11 เท่า

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่น่าจะปรับลงต่ำแล้ว จากปัจจุบันอยู่ระหว่าง 60-65 เหรียญฯ

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเศรษฐกิจยุโรป และสหรัฐฯกำลังฟื้นตัว

ราคาน้ำมันจึงไม่มีทางปรับลงมาแน่ๆ

นี่ยังไม่รวมปัจจัยด้านธุรกิจนอนออยล์ที่ ปตท.โหมรุกอย่างหนัก และมี Café Amazon (มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 หรือมากกว่าสตาร์บัคส์) เป็นตัวชูโรงสร้างรายได้หลัก

จากข้อมูลของ ปตท.พบว่ากำไรจากธุรกิจน้ำมันมีมาร์จิ้นไม่ถึง 4%

ส่วนนอนออยล์ได้มากกว่า 30%

แถมยังซื้อขายคล่องกว่ากันเยอะ

ใครที่มีเงินเย็นไม่ได้รีบร้อนเอาไปทำอะไร จึงมีคำแนะนำซื้อหุ้น PTT เก็บไว้ในพอร์ต เพราะราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปแตะ 100 บาทนั้นในช่วงเวลาซัก 1 ปี หรืออาจน้อยกว่านั้น

ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย

Back to top button