พาราสาวะถี

สองขยักวัดใจพรรคประชาธิปัตย์ผลการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 3 นครศรีธรรมราช กับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากทั้งสองอย่างพรรคเก่าแก่อยู่ในฐานะผู้พ่ายแพ้ คำถามสำคัญคือ ยังจะดันทุรังนั่งเสวยสุขอยู่บนเก้าอี้เสนาบดีต่อไป หรือจะตัดสินใจแสดงจุดยืนที่ชัดเจน เรื่องแรกยังพอเข้าใจได้เส้นทางการเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งเมื่อหนก่อนแพ้ชนะกันแค่ 4 พันคะแนน ผู้ปราชัยย่อมอยากขอแก้มือและถือว่าตัวเองอยู่ในจุดที่ได้เปรียบคู่แข่งเต็มประตู


อรชุน

สองขยักวัดใจพรรคประชาธิปัตย์ผลการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 3 นครศรีธรรมราช กับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากทั้งสองอย่างพรรคเก่าแก่อยู่ในฐานะผู้พ่ายแพ้ คำถามสำคัญคือ ยังจะดันทุรังนั่งเสวยสุขอยู่บนเก้าอี้เสนาบดีต่อไป หรือจะตัดสินใจแสดงจุดยืนที่ชัดเจน เรื่องแรกยังพอเข้าใจได้เส้นทางการเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งเมื่อหนก่อนแพ้ชนะกันแค่ 4 พันคะแนน ผู้ปราชัยย่อมอยากขอแก้มือและถือว่าตัวเองอยู่ในจุดที่ได้เปรียบคู่แข่งเต็มประตู

แต่ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นี่คือเงื่อนไขสำคัญของการเข้าร่วมรัฐบาล หากเล่นลิ้นด้วยวาทกรรมที่ว่าพยายามเต็มที่แล้วแต่ได้แค่นี้ พรรคไม่ได้ผิดสัญญาประชาชน และยังคงยืนอยู่บนหลักการอย่างเข้มแข็ง หากเป็นเช่นนั้น ก็รอไปลุ้นกันในการเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคที่เคยได้ส.ส.หลักร้อยแล้วเหลือแค่ครึ่งร้อย ต่อไปจะเหลือถึงหลักสิบหรือไม่ และที่จะวัดกันได้ก่อนถึงตรงนั้นคือ การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นปลายปีนี้

สนามที่เคยเป็นฐานเสียงแข็งแรงรองจากภาคใต้ก่อนจะแพ้หมดรูปเมื่อการเลือกตั้งหนก่อน ถ้าการเมืองไม่มีอะไรพลิกผัน ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจปรับครม.แล้วเดินกันต่อไปได้ การเลือกตั้งผู้นำเมืองหลวงจะถือเป็นบทพิสูจน์ว่า คนที่เคยนิยมในพรรคดีแต่พูดจะยอมหันกลับมาเลือกเพื่อให้โอกาสอีกรอบหรือไม่ ถ้าไปแล้วไปลับ นั่นก็เท่ากับว่า สิ่งที่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นำพาพรรคเข้าไปซบตักขบวนการสืบทอดอำนาจเพื่อหวังพลิกฟื้นกลับเป็นพากันเข้ารกเข้าพง

เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัย 11 มีนาคมนี้ แนวโน้มแทบจะไม่ต้องลุ้นอะไรกันอีกแล้ว เพราะคนที่ศาลขอความเห็นไปนั้นยืนยันหนักแน่นแก้ไขทั้งฉบับไม่ได้ ต้องรายมาตราเท่านั้น และการเฉพาะเจาะจงเลือกบุคคลที่จะให้ข้อมูลแค่จำนวนเท่านี้ ก็รู้กันอยู่แล้วว่าหมายถึงอะไร ที่เหลือก็แค่รอฟังคำอธิบายเท่านั้นว่า จะใช้ถ้อยคำแบบไหนมารองรับเหตุผลของการวินิจฉัยเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายก็เท่านั้น

การแก้ไขรายมาตราที่พรรคสืบทอดอำนาจและเนติบริการข้างกายผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ประกาศตั้งแต่ยังไม่ทราบผลของศาลรัฐธรรมนูญว่า พร้อมดำเนินการ ก็คงไม่ต้องเดาแก้ไขเฉพาะที่เป็นปัญหาต่อการทำงานหรืออุปสรรคต่อการบริหารของอำนาจสืบทอดเท่านั้น สถานการณ์ทางการเมืองที่จะเกิดการพลิกผันมีเพียงแค่ 2 ทางเท่านั้นคือ การรับไม่ได้ต่อการถูกหลอกของพรรคร่วมรัฐบาล กับ การลุกฮือประชาชนที่กำลังเข้มข้นในการเคลื่อนไหวอยู่เวลานี้

เมื่อพิจารณาอย่างรอบด้าน โอกาสของอย่างแรกแทบจะเป็นศูนย์ พรรคการเมืองที่เลือกจะเข้าสู่เก้าอี้ฝ่ายบริหารโดยไม่สนใจว่ากระบวนการที่ได้มาซึ่งอำนาจนั้นสง่างามหรือไม่ ไม่ต้องไปถามว่าหลังจากนั้นการถูกหักหลังแต่ไม่ใช่เรื่องเสียหายต่ออำนาจและผลประโยชน์ที่ตัวเองยังคงมีอยู่ คนเหล่านั้นจะเลือกสิ่งไหน ความหวั่นไหวของขบวนการสืบทอดอำนาจจึงอยู่ที่การเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวภายใต้กลุ่มก้อนต่าง ๆ ที่ดำเนินอยู่ในเวลานี้มากกว่า

เห็นได้จากการออกประกาศห้ามชุมนุมในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ออกมาล่าสุดโดยอ้างสถานการณ์ของโควิด-19 มันสวนทางกับสิ่งที่พยายามสื่อสารกับสังคมว่าสถานการณ์ดีขึ้น ถึงขั้นที่เล็งจะลดระดับการควบคุมพร้อมมองไปถึงการเปิดช่องให้จัดกิจกรรมช่วงเทศกาลสงกรานต์ได้ เข้าทำนองปากกล้าขาสั่น ซึ่งประเด็นตรงนี้ไม่ใช่สาระสำคัญที่กลุ่มเคลื่อนไหวจะสยบยอมอยู่แล้ว ในทางตรงข้ามนับวันยิ่งจะเพิ่มพลังในการกดดันและคนเริ่มเข้าร่วมมากขึ้น

ความจริงเรื่องโควิด-19 อย่างที่รู้กันการระบาดรอบสองตั้งต้นที่สมุทรสาครแล้วโผล่ที่ 4 จังหวัดภาคตะวันออก เป็นความผิดพลาดและต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่จนป่านนี้ยังไร้วี่แววถึงขบวนการขนแรงงานเถื่อนและลักลอบเปิดบ่อนพนัน นั่นเป็นเพราะรู้กันดีว่านี่คือการลูบหน้าปะจมูก และมีผลประโยชน์มหาศาลที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับคนสำคัญในรัฐบาลโดยตรง

การปรากฏกายรอบสองในคลับเฮาส์ของ ทักษิณ ชินวัตร คงสร้างความอึดอัดและโมโหโกรธาให้กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งที่ตะคอกใส่นักข่าวที่ถามเมื่อคราวการโชว์วิสัยทัศน์ของอดีตผู้นำคนแดนไกลหนแรกว่าชอบฟังอะไรกับพวกทำผิดกฎหมาย พวกโกง แต่คนกลับไม่รู้สึกคล้อยตามกับสิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพยายามอยากให้เป็น มิหนำซ้ำ ยังนำมาเปรียบเทียบกันไม่หยุดหย่อน แม้จะมีขบวนการด้อยค่าตามปฏิบัติการไอโอโจมตีนายใหญ่ด้วยประเด็นตากใบและกรือเซะก็ตาม

เพราะความเป็นจริงเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ทักษิณถูกถามทั้งสองกรณีดังกล่าวก็ได้เอ่ยคำขอโทษและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่แสดงท่าทีโกรธเมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ ผิดกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหากถูกจี้ถามในสิ่งที่เป็นความผิดพลาดคงสติแตกแดกดันและลุกหนีทันที นี่คือความต่างที่ว่าด้วยความเป็นผู้บริหารแบบมืออาชีพ เช่นเดียวกับวิสัยทัศน์ที่แม้จะกล้าตอบในทุกคำถามเหมือนกัน แต่คนหนึ่งตอบแบบมองเห็นอนาคต ขณะที่อีกคนท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน (ฮา)

นี่คือความต่างอย่างเห็นได้ชัดไม่ใช่เฉพาะนำไปเทียบเคียงกับคนอย่างทักษิณเท่านั้น หากแต่เมื่อเทียบกับนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดแล้ว การอยู่มา 7 ปีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนอกจากจะทำให้คนไทยเหมือนขอทานที่ต้องรอลุ้น รอเสี่ยงดวงว่าจะเข้าเกณฑ์ได้รับความช่วยเหลือจากสารพัดโครงการแจกของรัฐบาลหรือไม่ ยังไม่เห็นทิศทาง แนวโน้มว่าจะอยู่ดีกินดีกันอย่างไร ดังนั้น การออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มก้อนต่าง ๆ ในเวลานี้จึงน่าห่วง และดูท่าว่าการไม่เลือกวิธีที่จะไปสู่ความสำเร็จ เมื่อก้าวข้ามพ้นแนวทางสันติวิธีไปแล้ว นั่นหมายถึงการท้ารบ พร้อมชน ซึ่งทำให้อะไรก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

Back to top button