5 หุ้น ‘ทีวีดิจิทัล’ โชว์กำไร Q1 ‘แจ่ม-เทิร์นอะราวด์’

“ข่าวหุ้นธุรกิจ” เข้าสำรวจหุ้นในกลุ่ม “ทีวีดิจิทัล” โดยเฉพาะหุ้นที่ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/64 ออกมามีกำไรสุทธิโดดเด่น


เส้นทางนักลงทุน

บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ทยอยประกาศงบไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 ออกมาครบถ้วนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ทำให้ทางหนังสือพิมพ์ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” เข้าสำรวจหุ้นในกลุ่ม “ทีวีดิจิทัล” โดยเฉพาะหุ้นที่ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 ออกมามีกำไรสุทธิโดดเด่น อาทิ GRAMMY, WORK, MCOT, MONO และ BEC

สำหรับทั้ง 5 บริษัท มีทั้งบริษัทที่มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 เติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ ได้แก่ GRAMMY, WORK ขณะที่บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิ เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ ได้แก่ MCOT, MONO, BEC

รายละเอียดมีดังต่อไปนี้ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 398.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 872.07% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 40.96 ล้านบาท สาเหตุจากธุรกิจการลงทุนในบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าและบริษัทร่วมจำนวน 66.5 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาส 1/2563 ที่ 3.6 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ในไตรมาส 1/2564 มีรายได้ 68.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 342.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาส 4/2563 ภายหลังการปรับโครงสร้างการลงทุนในกิจการร่วมค้า มีการบันทึกรายได้จากธุรกิจดิจิทัลทีวี ช่องจีเอ็มเอ็ม 25 ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทย่อยของบริษัท

ส่วนด้านต้นทุนขายและบริการไตรมาส 1/2564 เท่ากับ 521.2 ล้านบาท ลดลง 33.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนขายและบริการลดลงในส่วนที่มากกว่าสัดส่วนของรายได้ที่ลดลง โดยสัดส่วนต้นทุนต่อรายได้จากการดำเนินงานทั้งหมดในไตรมาส 1/2564 เท่ากับ 53.1% ของรายได้จากการดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมในไตรมาส 1/2564 เท่ากับ 420.8 ล้านบาท ลดลง 10.0% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลง

บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 117.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 154.52% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 46.30 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งยังมาจากรายได้จากธุรกิจรายการโทรทัศน์ ประกอบด้วยรายได้จากการขายโฆษณาและโปรโมตในช่วงเวลาต่าง ๆ ของสถานีโทรทัศน์ของบริษัท (ช่อง WORKPOINT) และช่องทางสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ของบริษัท รวมถึงรายได้จากการให้เช่าช่วงเวลาให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อออกอากาศรายการโทรทัศน์ในช่อง WORKPOINT, รายได้จากการรับจ้างผลิตรายการเพื่อออกอากาศในช่อง WORKPOINT และรายได้จากการจำหน่ายลิขสิทธิ์รายการไปยังต่างประเทศ

โดยในไตรมาส 1/2564 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจรายการโทรทัศน์รวม เท่ากับ 555.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 เท่ากับ 55.68 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 11 ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจรายการโทรทัศน์ของบริษัทมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากช่อง WORKPOINT เป็นหลัก เนื่องจากนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ต่อเนื่องถึงช่วงไตรมาส 1/2564 บริษัทมีรายการใหม่หลายรายการ ได้แก่ ร้องข้ามกำแพง, หัวท้ายตายก่อน เป็นต้น ซึ่งรายการดังกล่าวได้รับความนิยมและกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้เรตติ้งและยอดขายของช่อง WORKPOINT ปรับตัวดีขึ้น

นอกจากนี้ ในไตรมาส 1/2564 ทางด้านต้นทุนลดลง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของต้นทุนจากธุรกิจรายการโทรทัศน์ เนื่องจากในไตรมาส 1/2564 บริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการลดลงของต้นทุนรับจ้างจัดงานเนื่องจากสถานการณ์โควิด ทำให้ไม่สามารถจัดงานให้เป็นไปตามแผนได้ อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ลดลง โดยการลดลงดังกล่าวมีสาเหตุหลักเกิดจากการลดของค่าดำเนินการขายสินค้า ซึ่งแปรผันตามการลดลงของรายได้จากการขายสินค้า และการลดลงของค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าใช้จ่ายสำนักงานตามนโยบายลดค่าใช้จ่ายของบริษัทเพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19

บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิ 35.50 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 877.39 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจากธุรกิจโทรทัศน์รายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เป็นการเพิ่มขึ้นจากรายการประเภทเช่าเวลา พร้อมกับธุรกิจให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัล (BNO) รายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 ส่วนหนึ่งมาจากการได้รับเงินสนับสนุนค่าเช่าใช้บริการโครงข่ายฯ สำหรับช่อง 9 MCOT HD จากกสทช.เต็มจำนวน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 เป็นต้นมา ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายรวมปรับตัวลดลง จากค่าใช้จ่ายในการบริหาร รวมถึงไม่มีการบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์

บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิ 13.13 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 390.27 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจาก 1) การปรับโครงสร้างภายในกลุ่มโดยมุ่งเน้นธุรกิจหลัก 2) ผลสำเร็จจากธุรกิจให้บริการคอนเทนต์ MONOMAX และ GIGATV ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากกระแส New Normal 3) นโยบายการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 ส่งผลให้การควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และ 4) การเริ่มฟื้นตัวของธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แม้จะยังไม่ฟื้นตัวสู่ระดับเดิมในช่วงก่อนการระบาด

บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิ 138.83 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 275.16 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนรวมของกลุ่ม BEC อยู่ที่ 973.3 ล้านบาท ลดลง 38.8% จากไตรมาสที่ 1/2563 และลดลง 4.2% จากไตรมาสที่ 4/2563 ตามแผนงานที่ได้มีการดำเนินการต่อเนื่อง ได้แก่ การลดต้นทุนดำเนินการ การลดขนาดองค์กร การยุติการออกอากาศช่อง 3 ในระบบอนาล็อกหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน โครงการลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และการถอดงบของ Tero ซึ่งทั้งหมดจะเป็นโครงสร้างต้นทุนใหม่ของกลุ่ม BEC ในปี 2564

ขณะที่กำไรขั้นต้นรวมอยู่ที่ 334.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 715.4% จากไตรมาสที่ 1/2563 มีธุรกิจการขายลิขสิทธิ์ละครไปต่างประเทศ (Global Content Licensing) และธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) รายได้รวมกันมากถึง 329.7 ล้านบาท มาสนับสนุน ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 1/2564 มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25.6%

อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมของกลุ่ม BEC อยู่ที่ 146.4 ล้านบาท ลดลง 60.5% จากไตรมาสที่ 1/2563 จากการลดค่าใช้จ่ายการลดขนาดองค์กรและจากการถอดงบของ Tero

ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่ม “ทีวีดิจิทัล” ผลการดำเนินงานบางบริษัทดีขึ้น และที่สำคัญเริ่มเห็นการ “เทิร์นอะราวด์” อย่างชัดเจนในไตรมาสแรกของปี 2564

Back to top button