เลี่ยง SET50

ดัชนีหุ้นกลุ่ม SET50 ปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์ 23 ก.ค.ที่ผ่านมาอยู่ที่ 923.24 จุด


ดัชนีหุ้นกลุ่ม SET50 ปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์ 23 ก.ค.ที่ผ่านมาอยู่ที่ 923.24 จุด

มีประเด็นที่น่าสนใจจากระดับดัชนีปิดระดับดังกล่าว

นั่นคือ เป็นการลงมาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม 2564

หากดูจากเส้นกราฟนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564

ดัชนีหุ้นกลุ่ม SET50 ลงมาที่บริเวณ 920 +/- อยู่ 3-4 ครั้ง

หลังจากนั้นได้เด้งกลับขึ้นมาได้ทุกครั้ง

ทว่าครั้งนี้ มีโอกาสที่ยังจะปรับลงต่อเนื่อง และอาจจะหลุด 920 จุด มาอยู่บริเวณ 900 จุด

นักวิเคราะห์ประเมินว่า กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ น่าจะยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องอีก จากความ “ผันผวน” ของตลาดหุ้นไทย ที่เกิดจากปัจจัย “เศรษฐกิจสะดุด”

เศรษฐกิจสะดุดที่ว่านี้ มาจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุด ที่ยังไม่เห็นสัญญาณว่าจะจบลงอย่างไร

หรือจะเบาบางได้ในช่วงเวลาใด

ขณะที่การดำเนินนโยบายการแก้ปัญหาของรัฐบาล เหมือนกับว่า “ผิดพลาด”

ทั้งประเด็นเรื่องการล็อกดาวน์ การจัดหาวัคซีน และกระตุ้นเศรษฐกิจ

นับจากต้นปี 2564 มาถึง ณ วันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา

กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยไปแล้วกว่า 90,440 ล้านบาท

นักวิเคราะห์ประเมินว่า ต่างชาติจะยังคงขายในตลาดหุ้นไทยไปอีกต่อเนื่อง และยังไม่เห็นปัจจัยใดที่พวกเขาจะวกกลับมาหรือ “ซื้อกลับ” ในช่วงเวลาใด

ปัญหาโควิดในประเทศ ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจเกิดสะดุด และส่งต่อมายังตลาดหุ้น

ถือเป็นปัจจัยในประเทศที่ต่างชาติเฝ้าจับตาและให้ความสำคัญ

ส่วนต่างประเทศที่เป็นปัจจัยให้ต่างชาติขนเงินออก

มาจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน หรือ QE และสัญญาณการปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ของสหรัฐฯ

ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาก

และทำให้ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนอีกครั้ง

จากต้นปี 2564 ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าลงมาแล้วกว่า 8.8%

และมาเคลื่อนไหวระหว่าง 32.50-32.80 บาท

แม้จะมีบางวันที่นักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย

แต่จะเห็นว่า เป็นการซื้อที่ค่อนข้างน้อย หรือเมื่อเห็นว่า มีราคาหุ้นในกลุ่ม SET50 บางกลุ่ม บางตัว ราคาลงมาค่อนข้างมากเกินไป หรือต่ำกว่าพื้นฐาน

ต่างชาติจะเข้ามาดักเก็บ

แต่การเก็บหุ้นเข้าพอร์ตดังกล่าว

เป็นการเข้าซื้อเพื่อถือ “ระยะสั้น” ไม่ได้ถือยาว คือ พอมีกำไร ก็จะค่อย ๆ ปรับพอร์ตขายออก

หุ้นอย่าง กสิกรไทย หรือ KBANK ที่ต่างชาติให้ความสนใจมากเป็นอันดับต้น ๆ

จะพบว่า ราคาหุ้น KBANK ปรับลดลงมาต่อเนื่อง จากการขายของกลุ่มต่างชาติ

เช่นเดียวกับ แบงก์กรุงเทพ หรือ BBL ที่ต่างชาติเข้ามาถือกันค่อนข้างมาก จนบางช่วง สัดส่วนใน NVDR เริ่มถึงลิมิตที่จะเข้ามาลงทุนได้

ล่าสุด BBL ราคาหุ้นยังปรับลง

จนราคาลงมาต่ำสุดนับจากช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2563

หุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปมากเป็นอันดับหนึ่งของตลาดหุ้นไทย PTT ได้ถูกต่างชาติทยอยขายออกมาเช่นกัน

และน่าจะเป็นคำตอบให้กับนักลงทุนที่สงสัยว่า ทำไมราคาหุ้น “พี่ปอ” หรือ  PTT ค่อย ๆ ปรับร่วงลง จากที่เคยขึ้นไปยืนเหนือ 40 บาท ล่าสุดลงมาเหลือ 35.75 บาท เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ทั้งที่ราคาน้ำมันดิบ ปรับขึ้นต่อเนื่อง

ประกอบกับแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มปตท.จะออกมาดี

อัตรากำไรจะสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2563

ยังมีหุ้นในกลุ่ม SET50 อีกหลายตัวที่ต่างชาติถือหุ้นอยู่ และค่อย ๆ ขายออกมา

เข้าใจว่า นักลงทุนของไทยเอง ทั้งรายย่อย และสถาบัน ก็ระวังเรื่องการเข้าไปรับหุ้นในกลุ่ม SET50

เพราะจะเห็นว่า หุ้นที่เข้ามาติดอันดับใน  Most Active Value จะไม่ค่อยเห็นหุ้นขนาดใหญ่นัก แต่จะเป็นหุ้นขนาดกลางและเล็ก หรือบางวัน เป็นหุ้นที่เราแทบไม่คุ้นหน้าคุ้นตากันด้วย

แต่หุ้นกลาง เล็ก เหล่านี้ มักจะมีปัจจัยบวก หรือเข้ามาหนุนแบบเฉพาะตัว

ทำให้เกิดการเข้ามาเก็งกำไร (ระยะสั้น)

นักวิเคราะห์ประเมินกันว่า ดัชนีหุ้นไทย น่าจะค่อย ๆ ซึมลง

แนวรับสำคัญคือ 1,500 จุด

หากหลุดหรือต่ำลงมาจากนี้

ก็น่าจะมาอยู่บริเวณ 1,480 จุด

และน่าจะเป็นระดับ เริ่มกลับเข้ามาทยอยสะสมหุ้นได้ โดยเฉพาะในกลุ่ม SET50

Back to top button