ดักเก็บหุ้นคาด Q2 เด่น – ปัจจัยบวกเฉพาะตัว

ดัชนีตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวลงเนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก็ตาม...


เส้นทางนักลงทุน

ดัชนีตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวลงเนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ทางธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก็ตาม…

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกรอบนี้ต่างกระทบต่อ GDP ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะเอเชีย ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศลดการลงทุนในภูมิภาคนี้ลดลง รวมทั้งตลาด Emerging Market (EM) หรือที่เรียกว่าตลาดเกิดใหม่ที่ต่างปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง

หมายความว่านักลงทุนกำลังมองหาสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ-ยุโรป จึงดีกว่าตลาดอื่นๆ รวมถึงพันธบัตรที่เป็น Risk Free อยู่แล้ว

ด้านตลาดหุ้นไทยยังคงเจอแรงกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดหนักเช่นกัน โดยเห็นได้ชัดจากตัวเลขผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตที่ยังอยู่ในระดับสูง (มองว่าเพิ่มมากจากการนำตัวเลขที่ไม่เคยบันทึกมาลง) โดยเชื่อว่าแนวโน้มตัวเลขยังจะสูงต่อได้อีก ขณะที่รัฐบาลขีดเส้น 4-6 สัปดาห์ต้องดีขึ้น หมายความว่าน่าจะมีมาตรการควบคุมรอบใหม่ออกมา

ทั้งนี้ ทำให้ทางบล.เคทีบีเอสที คาดว่าหนึ่งในมาตรการใหม่จะเป็นการควบคุม Cluster โรงงาน ผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจที่เคยทำไว้คือ ระบาดรอบนี้ (ก.ค.-ก.ย. 2564) มีผลกระทบต่อกำไรตลาดราว 3-6% แต่ที่มองว่าดัชนีฯ มีโอกาสลงต่อไปโซน 1,500 จุด เพราะนักลงทุนอาจลดความเสี่ยง

ขณะที่การเก็งงบไตรมาส 2/2564 นั้น ถูกเล่นมาค่อนข้างมาก ทำให้เหลือ upside ไม่มากนัก สำหรับหุ้นงบไตรมาส 2/2564 ที่ถูกคาดว่าจะขยายตัวเกิน 10% ทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน อาทิ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH, บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER, บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO, บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER และ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI

ส่วนผลการประชุม FOMC คืนที่ผ่านมา (28 ก.ค. 2564) ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด จึงไม่มี surprise อย่างไรก็ตามการประชุมในเดือน ก.ย. 2564 ทาง (เฟด) อาจยกเรื่องลด QE ขึ้นมาพูดอีกครั้งก็เป็นได้

ทั้งนี้ ทาง บล.เคทีบีเอสที คงประเมินช่วงสั้น ๆ จะดีต่อหุ้น Commodity ส่วนผลต่อตลาดหุ้นไทยมีค่อนข้างน้อย ตัวแปรอื่น ๆ วานนี้ความเสี่ยงของตลาดหุ้นโลกที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของจีนที่มีต่อธุรกิจต่าง ๆ (โรงเรียนกวดวิชา เทคโนโลยี ฯลฯ) กระทบไปถึงการลงทุนในตลาดอื่น ๆ ด้วย และในประเทศไทยทางกระทรวงการคลังจะมีการปรับประมาณการ GDP ปีนี้ จากผลกระทบโควิด-19 รอบใหม่ จากเดิม 2.3%

อย่างไรก็ดี มองตลาดเป็นลบมากขึ้น หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีแนวโน้มสูงขึ้น และรัฐบาลน่าจะออกมาตรการรอบใหม่ ขณะที่การเก็งงบไตรมาส 2/2564 หรือผลประชุม FOMC ช่วยตลาดไม่ได้มากนัก

สำหรับกลยุทธ์หลักคือ “ถอยไปตั้งรับ” สำหรับหุ้นที่เป็น เป้าหมายสำหรับเก็งกำไรช่วงสั้น จะเป็นกลุ่มที่มีปัจจัยเฉพาะ เช่น หุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว (ราคาไม่สูงมาก) และหุ้นอิงรายได้จากการส่งออกและเงินบาทอ่อนค่า รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการระบาดของโควิด-19

โดยการลงทุนในพอร์ตหุ้น แนะนำ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER, บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE, บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP, บริษัท วินเนอร์ยี่ เมดิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ WINMED, บริษัท แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HTECH, บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET และ บริษัท โรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ จำกัด (มหาชน) หรือ IMH

ขณะเดียวกัน ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจส่วนของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คงประมาณการ GDP Growth โลกปี 2564 ไว้ตามเดิม แต่ปรับเพิ่มกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่มีอัตราการฉีด Vaccine สูง แต่ในกลุ่มประเทศโซนเอเซียรวมถึงไทย ถูกปรับลดประมาณการลง ภาพดังกล่าวประกอบกับการที่เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า เป็นการย้ำให้เห็นว่าทิศทางของ Fund Flow จากต่างชาติยังมีโอกาสไหลออก

ส่วนปัจจัยในประเทศ ความเสี่ยงในเรื่องโควิด-19 ยังอยู่ในระดับสูง โดยจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ยังทำ New High ต่อเนื่อง ทำให้เกิดปัญหารุนแรงต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ ทั้งนี้ภาพที่เกิดขึ้นถือว่ามีความรุนแรงกว่าที่คาดมาก ซึ่งต้องติดตามต่อไปว่าจะมีความยืดเยื้อมากเพียงใด และจะมีมาตรการเพิ่มเติมที่จะลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือไม่

ผลตามมาทำให้ บล.เอเซีย พลัส คาด SET Index น่าจะผันผวนในทิศทางลง แนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,530 จุด พอร์ตจำลองให้ Cut Loss หุ้น AEONTS และนำเงิน 5% ลงทุนเพิ่มใน ADVANC และเพิ่มเงินสดเป็น 25% หุ้น Top Pick เลือก ADVANC และ MCS

โดย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC มีการคาดว่ากำไรไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 6.92 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากไตรมาสก่อน จากผลบวกต้นทุนค่าเสื่อมอุปกรณ์ 3G-4G ที่ทยอยตัดจ่ายครบ และการควบคุมต้นทุนต่าง ๆ บวกกับอานิสงส์ความเป็นผู้นำธุรกิจมือถือ ช่วยบรรเทาผลกำลังซื้อและการเติบโตธุรกิจรอง อาทิ อินเทอร์เน็ตบ้าน ที่ขึ้นมาประคองรายได้ในช่วงนี้

ขณะที่ครึ่งหลังของปี 2564 คาดเติบโตเล็กน้อยจากครึ่งแรกปี 2564 จากบริการมือถือที่เป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้น บวกกับความเป็นผู้นำ 5G กลยุทธ์สร้างความแตกต่างด้วยบริการจากพันธมิตร ล่าสุด Disney+ ที่ใช้ดึงดูดลูกค้าใหม่เพิ่มเติม ซึ่งมูลค่าทางพื้นฐานปัจจุบันยังไม่รวมถึง Synergy ระยะยาวกับ GULF

ดังนั้น ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 220.00 บาท

ตามด้วย บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS มีการคาดกำไรไตรมาส 2/2564 ทำได้สูงถึง 330 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากไตรมาสก่อน และ 46% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หนุนด้วยปริมาณส่งมอบโครงสร้างเหล็กรวม 2.25 หมื่นตัน โดยกำไรครึ่งแรกของปี 2564 ที่คาดว่าจะทำได้สูงถึง 564 ล้านบาท

อีกทั้ง ประเมินปันผลครึ่งแรกของปี 2564 ไว้ที่ 0.55 บาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินปันผล 3.8% ส่วนทิศทางกำไรครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก ตามแผนส่งมอบงานล่าสุด จึงปรับประมาณการกำไรปีนี้ขึ้น 13% อยู่ที่ 1.18 พันล้านบาท

ทั้งนี้ มีการประเมินราคาเหมาะสม 21.00 บาท มีอัพไซด์ 40% และคาดหวังปันผลสูงถึง 8.90% ต่อปี ยังคงแนะนำ “ซื้อ”

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลข้างต้นที่นำเสนอภาพโดยรวมของภาวะตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยดูดีนัก ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นขาลงด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรยังมีหุ้นบ้างตัวที่อาจเป็นจังหวะของการเข้าไปลงทุนจากปัจจัยบวก!!!

Back to top button