พาราสาวะถี

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่มีวาระพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน ฝ่ายได้เคาะกันลงตัวซักฟอก 31 สิงหาคมถึง 3 กันยายน


วันนี้มีการประชุมครม.ที่เลื่อนมาจากวันอังคาร เพราะต้องเปิดทางให้กับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่มีวาระพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งจากที่ประชุมวิป 3 ฝ่ายได้เคาะกันลงตัวซักฟอก 31 สิงหาคมถึง 3 กันยายนและลงมติวันที่ 4 กันยายน กำหนดเวลาอภิปรายกันไว้ทั้งสิ้น 58 ชั่วโมงครึ่ง ฝ่ายค้านขอเวลาอภิปราย 40 ชั่วโมง ด้วยเหตุผลซักฟอกได้อย่างเต็มที่ โดยที่ฝ่ายรัฐบาลและครม.ขอเวลาชี้แจง 18 ชั่วโมงครึ่ง

แน่นอนว่า เนื้อหาสาระที่จะอภิปรายนั้นหากเป็นเรื่องที่ประชาชนรับรู้อยู่แล้วแต่ฝ่ายค้านยังคงใช้ข่าวตัดแปะมาซักฟอก ก็จะกลายเป็นการเปิดเวทีให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะได้ใช้เป็นเวทีฟอกขาวตัวเองไปในตัว สิ่งที่ยังไม่เห็นนับตั้งแต่หลังการเลือกตั้งปี 2562 คือข้อมูลหมัดเด็ดที่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหลังการซักฟอก ในทางตรงข้ามนอกจากไม่สร้างความระคายเคืองให้กับฝ่ายกุมอำนาจแล้ว หลังเสร็จศึกทุกครั้ง กลายเป็นว่าฝ่ายค้านเกิดอาการปีนเกลียวกันอีกต่างหาก

หนนี้ก็ไม่ต่างกัน เกิดการเขม่นกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและก้าวไกลตั้งแต่วันยื่นญัตติ โดยที่ทางพรรคฝ่ายค้านอันดับสองแสดงความไม่พอใจที่ไม่มีการบรรจุชื่อของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในการซักฟอก ซึ่งกรณีของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ได้สร้างปัญหารอยร้าวระหว่างสองพรรคฝ่ายค้านมาโดยตลอด หนนี้ก็เช่นกัน แต่ทางฝั่งพรรคเพื่อไทยดูจะมีเหตุผลที่มีน้ำหนักมากกว่า เมื่อไปพิจารณางานในมือของบิ๊กป้อมแล้ว แทบจะไม่เหลืออะไรให้รับผิดชอบ

นั่นหมายความว่าหากจะเกิดการอภิปราย ก็ไม่มีประเด็นไหนจะไปเอาผิดได้ ทำได้แค่สร้างความสะใจเท่านั้น ซึ่งมันไม่ตอบโจทย์และเกิดประโยชน์จากการซักฟอก แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าพรรคการเมืองที่เล่นกับกระแสของสังคมโดยเฉพาะในโลกโซเซียลนั้น ต้องการจะอภิปรายพี่ใหญ่ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเพื่ออะไร ด้วยเหตุนี้ความเห็นของ โทนี่ วู้ดซั่ม ในร่างของ ทักษิณ ชินวัตร ที่พูดผ่านคลับเฮาส์นัดอู้กำเมืองเมื่อไม่นานที่ผ่านมาจึงทำให้สังคมได้ช่วยกันฉุกคิด

หนนั้นเป็นปัญหาความไม่ลงรอยกันในเรื่องของการเห็นชอบให้ตัดงบประมาณกว่า 1.6 หมื่นล้านไปอยู่ในงบกลางเพื่อใช้แก้ไขปัญหาโควิด-19 ที่ฝ่ายพรรคก้าวไกลมองว่าพรรคของนายใหญ่น่าจะมีลับลมคมใน ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเรื่องของการแสดงให้เห็นถึงการมีสปิริตและมองเห็นความเดือดร้อนของประชาชนเพื่อนำงบประมาณก้อนดังกล่าวไปใช้แก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที ต่างกันที่วิธีคิดอย่างสิ้นเชิง โดยที่อีกฝ่ายย้ำเป็นเป็นการตีเช็คเปล่า

ในประเด็นนี้นายใหญ่ตอกนิ่ม ๆ ว่าความจริงเรื่องงบกลางเป็นสิ่งที่สามารถตรวจสอบได้และมีกลไกที่กำกับอยู่แล้ว งบที่ไม่สามารถตรวจสอบได้คืองบลับต่างหาก แต่ก็ไม่ได้ชี้ว่าใครผิดใครถูก ทว่ามองไปยังท่าทีของทั้งสองพรรคว่า ไม่ควรละทิ้งเป้าหมายร่วมกันสำหรับฝ่ายประชาธิปไตยคือ ต่อต้านเผด็จการและขบวนการสืบทอดอำนาจ ก่อนที่จะตบท้ายถึงสิ่งที่คนของทั้งสองพรรคแสดงออกและตอบโต้กันไปมาว่า “ง่าวทั้งคู่”

ส่วนทาสรับใช้เผด็จการอย่าง สุภรณ์ หรือเสกสกล อัตถาวงศ์ ก็มามุกเดิมต่อการรับมือซักฟอกทุกครั้งคือการตั้งวอร์รูมนอกสภาไว้ตอบโต้ฝ่ายค้านหรือพูดง่าย ๆ คือการแก้ตัวแทนนายและดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ผิดกับฝ่ายพรรคสืบทอดอำนาจที่ วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาลยืนยันพรรคไม่มีการตั้งวอร์รูมใด ๆ ขึ้นมาโต้ตอบฝ่ายค้าน ทุกอย่างว่ากันตามหน้างานหากอภิปรายนอกกรอบก็ยกมือประท้วงและให้ฝ่ายอภิปรายอยู่ในกติกาก็เท่านั้น

ขณะที่พรรคภูมิใจไทยมีการจัดตั้งองครักษ์พิทักษ์ อนุทิน ชาญวีรกูล และศักดิ์สยาม ชิดชอบ อย่างแข็งขัน โดยเตรียม 12 ส.ส.ฝีปากกล้าไว้คอยปกป้องนายนำโดย ศุภชัย ใจสมุทร, ชาดา ไทยเศรษฐ์ และภราดร ปริศนานันทกุล เป็นเรื่องธรรมดาของพรรคการเมืองที่ยึดถือตัวผู้นำเป็นหลักต้องอารักขากันเต็มที่ ส่วนประชาธิปัตย์ที่ เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคถูกซักฟอกด้วยนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการตอบโต้ เพราะพรรคเก่าแก่ถนัดเกมแบบนี้อยู่แล้ว หากไม่มีการวางยากันภายใน

อย่างไรก็ตาม ผลดีของการซักฟอกที่กำลังจะเริ่มขึ้น มีให้เห็นอย่างน้อย 1 เรื่อง นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมคุมโรค แถลงข่าววันหยุดให้ความชัดเจนเรื่องการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้กับประชาชนกว่า 3 ล้านคน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคไปแล้วสองเข็มก่อนหน้า โดยระบุว่าจะเริ่มได้ปลายเดือนกันยายนหรือไม่ก็ต้นเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมีเสียงเรียกร้องถามหาความชัดเจนแต่ไร้คำตอบ และมีการเปรย ๆ ไว้ว่าน่าจะเป็นต้นปีหน้า แต่ปรากฏว่ามาเร็วกว่าที่คิด

ขณะเดียวกัน ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางจะเริ่มขึ้น ทำไมดูเหมือนว่าสถานการณ์ของโควิด-19 ในประเทศในแง่ของตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีการประกาศผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ยกเว้นการประกาศเคอร์ฟิว กรณีนี้ สุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน รู้สึกสงสัยในข้อเท็จจริงเรื่องตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตที่ลดลงอย่างผิดสังเกต ซึ่งไม่น่าจะสอดคล้องกับความเป็นจริง

เพราะขณะนี้การตรวจด้วยตัวเองมากขึ้น ผู้ติดเชื้อกระจายไปตามต่างจังหวัด เกิดคลัสเตอร์และเสียชีวิตในชุมชนมากขึ้น ตัวเลขจากส่วนนี้ได้นับรวมเข้าระบบหรือไม่ ถ้าไม่ สถานการณ์จริงจะผิดเพี้ยนไปจากที่รายงานเป็นอย่างมาก การคลายล็อกซึ่งประกาศให้มีผลวันที่ 1 กันยายนนี้ก็เช่นกันได้วิเคราะห์สถานการณ์ตามตัวชี้วัดที่เป็นมาตรฐานหรือไม่ ถ้าไม่ เราก็จะเข้าสู่ความเสี่ยงอีกต่อไป เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาเราพลาดมาแล้ว เช่น กรณีคลายล็อกให้คนกลับบ้านเที่ยวสงกรานต์ที่ผ่านมา

ประชาชนทั่วไปคงรู้สึกไม่ต่างจากประธานวิปฝ่ายค้าน ที่ช่วยกันภาวนาให้โควิดลดลงเร็ว ๆ ภาวนาให้ตัวเลขเป็นตามที่รัฐบาลรายงาน และอยากให้คลายล็อกหรือปลดล็อกโดยเร็ววัน เพื่อจะได้ทำมาหากินกันปกติ แต่ก็กังวลว่ารัฐบาลจะยืนอยู่บนความจริงหรือไม่ เพราะช่วงนี้กำลังจะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เกรงรัฐบาลจะอำพรางสถานการณ์ให้ดูดี เพื่อลดน้ำหนักการอภิปรายและเอาตัวเองให้รอดเท่านั้น ถ้าทำเช่นนั้นบอกได้คำเดียวว่า ”ไม่คุ้ม” เพราะกรรมจะตกที่ประชาชนหนักกว่าเดิม

Back to top button