TU แตก..เพื่อโต.!

TU ถูกขนานนามว่าเป็นเบอร์หนึ่งทูน่าของโลก..!! ซึ่งเดิมโตมาจากการส่งออกอาหารทะเลสำเร็จรูปแช่เข็งและบรรจุกระป๋อง เน้นโปรดักส์กลางน้ำเป็นหลัก


บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ถูกขนานนามว่าเป็นเบอร์หนึ่งทูน่าของโลก..!! ซึ่งเดิม TU โตมาจากการส่งออกอาหารทะเลสำเร็จรูปแช่เข็งและบรรจุกระป๋อง มีตั้งแต่ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน กุ้ง ปลาหมึก และอาหารทะเลอื่น ๆ ซึ่งเป็นโปรดักส์กลางน้ำเป็นหลัก

โดยที่ผ่านมานอกจากเน้นการเติบโตจากภายใน หรือออร์แกนิคแล้ว ยังมุ่งเติบโตจากภายนอก หรืออินออร์แกนิค ด้วยการไปเทกกิจการหรือ M&A ควบคู่ไปด้วย

แต่ดีลสร้างชื่อให้กับ TU เห็นจะเป็นคิดการใหญ่ไปซื้อกิจการ Chicken of the Sea ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูปรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ TU ฟาสต์แทร็กขึ้นสู่เจ้าพ่อทูน่าโลกไปโดยปริยาย…

จากนั้นก็ทุ่มเงินก้อนโตซื้อ “เรด ล็อบสเตอร์” ภัตตาคารอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อซัพพอร์ตธุรกิจดั้งเดิม เติมเต็มห่วงโซ่ธุรกิจ

แต่ในช่วง 1-2 ปีมานี้ เริ่มเห็น TU ให้ความสำคัญกับโปรดักส์ต้นน้ำ อย่างอาหารสัตว์มากขึ้น เห็นได้ชัดจากกรณีมีแผนจะหย่านมลูก 2 คน นำโดยบริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM จากเดิมเป็นแค่ส่วนย่อยของ TU ดูแลอาหารสัตว์เศรษฐกิจในกลุ่ม TU ก็เตรียม Spin Off เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจเป็นปลายปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า

ถ้าไปดูผลงาน TFM ช่วง 3 ปีย้อนหลังก็ไม่ธรรมดา…ปี 2561 มีรายได้รวม 4,498 ล้านบาท กำไรสุทธิ 412 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 9.16% ปี 2562 มีรายได้รวม 4,906 ล้านบาท กำไรสุทธิ 842 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 17.17% และปี 2563 มีรายได้รวม 4,252 ล้านบาท กำไรสุทธิ 414 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 9.74%

ขณะเดียวกัน นอกจากอาหารสัตว์เศรษฐกิจแล้ว ยังมีอาหารสัตว์เลี้ยง หรือ Pet Care ที่เตรียม Spin Off เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกด้วย

ล่าสุดก็เพิ่งจับบริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) แต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเป็น บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ I-Tail เพื่อตระเตรียมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในไตรมาส 3 ปีหน้า…

ส่วนผลงาน I-Tail นั้น ก็จัดว่าเริ่ดหรูทีเดียว…ปี 2561 มีรายได้รวม 8,638 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,106 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 24.39% ปี 2562 มีรายได้รวม 6,541 ล้านบาท กำไรสุทธิ 551 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 8.43% และปี 2563 มีรายได้รวม 6,899 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,024 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 14.85%

จะเห็นว่าทั้ง 2 ธุรกิจอาหารสัตว์มีมาร์จิ้นค่อนข้างดี สะท้อนได้จากอัตรากำไรสุทธิที่สูงกว่า TU ซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 4-5% เท่านั้น

นี่อาจเป็นเหตุผลที่ TU ต้องการ Spin Off สองขานี้ออกมา..!!

โดยอาศัยกลไกตลาดทุนเป็นตัวระดมทุน ก็จะทำให้ทั้ง 2 ธุรกิจได้เงินทุนจากนักลงทุนมาขยายธุรกิจ โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินทุนจากแม่ หรือ TU อีกต่อไป ซึ่งจะทำให้ทั้ง 2 ธุรกิจมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น จากเดิมแค่หลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ ต่อไปก็จะเปล่งรัศมีเฉิดฉายได้เต็มที่…

ถือเป็นการ “แตก…เพื่อโต” นั่นเอง..!!

สิ่งที่น่าจับตา TFM และ I-Tail ก็จะโตด้วยต้นทุนที่ต่ำลง โดยสามารถใช้กลไกตลาดทุนเป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการหาเงิน ไม่ว่าจะเป็นการออกหุ้นกู้ การเพิ่มทุน ฯลฯ

ที่สำคัญด้วยแม่ TU เป็นเบอร์หนึ่งทูน่าโลก เป็นเจ้าตลาดทั้งในอเมริกาและยุโรป ทั้ง 2 บริษัทก็สามารถใช้แม่เป็นช่องทางในการโตในตลาดต่างประเทศได้ด้วย

เมื่อลูกได้ดี…แน่นอน TU แม่บังเกิดเกล้าก็จะได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ…อย่างแรกเลย จะรับรู้กำไรจากการนำหุ้นเดิมออกมาขาย ซึ่งจะมีกำไรมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นเดิมที่นำออกมาขายและส่วนต่างราคาไอพีโอ

ถัดมา เป็นการรับรู้มูลค่าเพิ่มจากบรรดาลูก ๆ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่…

งานนี้คงไม่ต้องบอกนะว่า ใครจะแฮปปี้ที่สุด ถ้าไม่ใช่แม่ทัพใหญ่อย่าง “ธีรพงศ์ จันศิริ”

…อิ อิ อิ…

Back to top button