พาราสาวะถี

ภาครัฐฝันว่าท่องเที่ยวจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ส่วนภาคผู้ประกอบการไม่ต้องพูดถึง คาดหวังกันอย่างยิ่ง และก็ภาวนาอย่าให้มีเหตุไม่คาดฝันกิดขึ้นอีก


เปิดพร้อมกันแต่ด้านหนึ่งทำท่าว่าจะไปได้สวย ส่วนอีกด้านยังเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เปิดประเทศกับตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยมีต่อเนื่อง จนถึงขนาดที่หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบฝันไปไกลว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในปีหน้า หลังจากฟุบตลอดสองปีที่ผ่านมา ส่วนภาคผู้ประกอบการไม่ต้องพูดถึง คาดหวังกันไว้อย่างยิ่ง และก็ภาวนาไปในคราวเดียวกันอย่าให้มีเหตุไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นอีก

แนวโน้มของนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น ปัจจัยหลักคือเป็นช่วงฤดูกาลท่องท่องเที่ยว เมื่อมีคนใจกล้าก็ต้องแสวงหาประเทศที่พร้อมจะอ้าแขนรับแบบไม่มีเงื่อนไขให้ยุ่งยาก เมื่อไทยใช้วิธีการเข้าประเทศไม่ต้องกักตัวหรือรูปแบบเทสต์ แอนด์ โก ก็จะเห็นได้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเมื่อเทียบกับผู้ที่เดินทางมาในรูปแบบแซนด์บ็อกซ์ ต่างกันลิบลับ ดังนั้นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไม่สะดุดก็คือ ต้องไม่มีคลัสเตอร์จากแหล่งท่องเที่ยว อันหมายถึงความเคร่งครัดเข้มงวดของทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ

ประเภทได้คืบจะเอาศอกต้องไม่มี เหมือนกรณีการเปิดให้นั่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้ไม่เกิน 3 ทุ่ม มีผู้ประกอบการบางส่วนโอดโอย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นขอแค่ให้ได้เปิดและมีรายได้เข้ามา โดยที่ฝ่ายเกี่ยวข้องก็พยายามหาหนทางเพื่อให้เศรษฐกิจเดินไปได้ คนมีรายได้ แต่ประชาชนต้องปลอดภัยและระบบสาธารณสุขต้องเข้มแข็ง ถ้าเห็นแก่ได้ เรียกร้องฝ่ายเดียว ท้ายที่สุดก็วกเข้าอีหรอบเดิม การเดินแบบค่อยเป็นค่อยไปจึงเหมาะสมกับสถานการณ์มากที่สุด

ส่วนที่เปิดแล้วยังไม่เดินไปแบบติดขัดคือการเปิดเรียน ตามเป้าหมายที่จะให้มีการเปิดแบบออนไซต์ให้มากที่สุด เอาเข้าจริงปัญหาไม่ได้อยู่ที่สถานศึกษาไม่พร้อมจะดำเนินการตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขหรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกำหนดไว้ หากแต่อยู่ที่ความสมัครใจของผู้ปกครองในการที่จะส่งลูกไปโรงเรียน จึงได้เห็นโรงเรียนเอกชนบางแห่งมีทางเลือกให้ผู้ปกครองว่าจะให้ลูกหลานเรียนแบบไหน

ใครที่พร้อมจะส่งลูกไปโรงเรียนในรูปแบบออนไซต์ก็คิดค่าเทอมอีกแบบ ส่วนที่ยังไม่กล้าเสี่ยงก็ต้องคิดอีกแบบ สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับผู้บริหารโรงเรียนเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยสถานการณ์ที่เป็นไปแบบนี้ก็ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย เพราะกระทรวงศึกษาธิการในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลโดยตรงก็ยังไม่กล้าฟันธงหรือออกระเบียบ ข้อบังคับให้ปฏิบัติตามเหมือนกันทั้งหมด วางรูปแบบการเรียนการสอนไว้เป็นทางเลือกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดัน

เป็นใครก็คงตัดสินใจลำบาก ขนาดศบค.เองยังมีข้อห่วงใยเรื่องการเปิดเรียนแบบออนไซต์ กรณีเด็กกลับบ้านไปอยู่กับผู้ปกครอง หรือผู้สูงอายุในบ้านจะกลายเป็นนำเชื้อโรคกลับบ้าน จึงเรียกร้องให้มีการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยินยอมที่จะให้ลูกหลานของตัวเองไปเรียนแบบออนไซต์ ซึ่งไม่ว่าโรงเรียนเอกชนหรือรัฐบาลก็ประสบปัญหาทั้งนั้น เพียงแต่ว่าปัญหาที่เจออาจแตกต่างกัน

คือโรงเรียนรัฐบาลไม่พร้อมที่จะสอนแบบออนไลน์ ด้วยข้อจำกัดหลายด้าน ขณะที่โรงเรียนเอกชนไม่มีข้อจำกัดดังว่า แต่จะมีปัญหาเรื่องของค่าเทอมที่จะต้องมีสัดส่วนลดลงหากเทียบกับการเปิดเรียนแบบออนไซต์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีนักการเมืองบางรายออกมาโจมตีรัฐบาลในประเด็นนี้ โดยที่ฝ่ายกุมอำนาจก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะไม่สามารถขีดเส้นว่าจะต้องเดินแบบนั้นแบบนี้ได้ จึงโยนให้เป็นภาระของคณะกรรมการโรคติดต่อแต่ละจังหวัดว่ากันไป

กรณีนี้เป็นสิ่งที่ต้องค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าเรื่องของการท่องเที่ยวหรือเปิดให้ดื่มเหล้าแบบจำกัดเวลาเสียอีก ขนาดที่จีนซึ่งดูเหมือนจะคุมสถานการณ์ได้ดีแล้ว ยังพบว่ามีปัญหาในบางโรงเรียนที่พบผู้ติดเชื้อถึงขั้นต้องกักตัวเด็กไว้ข้ามคืนกันทีเดียวจนกว่าผลตรวจจะเรียบร้อย ดังนั้นประเทศไทยก็ต้องไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยทิศทางของนโยบายต่อโควิด-19 นั้นที่จีนต้องให้ผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ ส่วนของเราคือให้ทุกคนอยู่ร่วมกับโควิดให้ได้ นั่นหมายความว่า มีโอกาสที่จะพบการติดเชื้อแบบไม่คาดฝันได้ตลอดเวลา

หันมาดูสถานการณ์การเมืองภายในพรรคสืบทอดอำนาจ เรื่องวุ่น ๆ เกิดขึ้นไม่จบไม่สิ้น หลัง วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาลต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จากกรณีที่ถูกสั่งฟ้องกับพวกรวม 87 คน ในคดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอลในจังหวัดนครราชสีมา งานนี้คนที่จะเซ็นคำสั่งแต่งตั้งคือผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ หากเป็นก่อนหน้านั้นคงคัดตัวกันไม่ยาก แต่หลังเกิดปัญหาความไม่ลงรอยกัน ทุกตำแหน่งล้วนถูกจับตามอง เพราะจะเป็นการช่วงชิงกันของคนในแต่ละก๊วน

เมื่อพิจารณาจากบริบทที่จะต้องประสานงานกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจโดยตรง ก็คงพอจะมองเห็นแล้วว่า น่าจะไม่ใช่สายของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.และเลขาธิการพรรค หากแต่ต้องเป็นคนที่ออกตัวและเชียร์ท่านผู้นำแบบสุดโต่ง โดยเฉพาะท่วงทำนองที่แสดงออกในสภา การปรากฏชื่อของ นิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ จะมาทำหน้าที่ตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกและมีความเป็นไปได้ เพียงแต่ฝ่ายเชลียร์ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอย่าหลงประเด็นหรือเอาใจนายเพียงอย่างเดียว

เพราะประธานวิปรัฐบาลนั้นไม่ได้ทำหน้าที่แค่ประสานงานกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเพียงอย่างเดียว แล้วต้องเลือกเอาคนที่เป็นที่พอใจของท่านผู้นำเท่านั้น ต้องคำนึงถึงการประสานงานกับพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วย ยิ่งในสมัยประชุมนี้มีกฎหมายสำคัญของรัฐบาลหลายฉบับจะเข้าสู่การพิจารณา ถ้าเอาแค่สอพลอคนมีอำนาจ แต่การคุมเกมในสภามีปัญหาก็จบเห่ได้เหมือนกัน ล่าสุดเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรกไปวันวาน สภาก็ล่มทันทีเพราะองค์ประชุมไม่ครบ แค่เริ่มก็สะดุดแล้ว การไปโทษฝ่ายค้านไม่แสดงตัวมันเป็นเรื่องตลก เมื่อรัฐบาลถือเสียงข้างมาก แล้วปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

Back to top button