เปิด 3 หุ้นพุ่งแรง เดือนตุลาคม! แถมอัพไซด์เหลือเพียบ 

ในทางกลับกันยังมีหุ้นบางกลุ่มปรับตัวขึ้นจากปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน แม้ว่าราคาหุ้นจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมาแล้วก็ยังมีอัพไซด์อยู่


เส้นทางนักลงทุน

ภาพรวมช่วงเดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา พบว่า ดัชนี SET Index เคลื่อนไหวในลักษณะผันผวนระหว่างการซื้อขาย แต่ช่วงปลายเดือนอ่อนตัวลงทำให้ ณ วันที่ 29 ต.ค. 2564 ดัชนีปิดอยู่ที่ 1,623.43 จุด เทียบจากดัชนีปิดวันที่ 30 ก.ย. 2564 อยู่ที่ 1,638.75 จุด ลดลง 15.32 จุด หรือลงไป 0.93%

แม้ภาพรวมดัชนีจะอ่อนตัวลง แต่กลับมีหุ้นขนาดกลางและเล็กหลายตัวสามารถปรับตัวขึ้นเอาชนะดัชนีได้อย่างแข็งแกร่ง แม้จะเป็นการปรับตัวขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุไร้ปัจจัยบวก ในทางกลับกันยังมีหุ้นบางกลุ่มปรับตัวขึ้นจากปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน มิหนำซ้ำ แม้ว่าราคาหุ้นจะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาแล้วก็ยังมีอัพไซด์อยู่ เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายที่ทางนักวิเคราะห์ประเมินไว้ให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนได้อยู่

ทั้งนี้ จากผลสำรวจของข่าวหุ้นธุรกิจ ยกตัวอย่าง 3 หุ้น ได้แก่ SPALI, SIS และ ORI

บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI โดย ณ วันที่ 29 ต.ค. 2564 ราคาหุ้นปิด 23.40 บาท เมื่อเที่ยบกับวันที่ 30 ก.ย. 2564 ราคาหุ้นปิด 20.00 บาท พบว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 3.40 บาท หรือขึ้นไป 17% ซึ่งหากพิจารณาเบื้องต้นเป็นการเก็งกำไรในส่วนของผลประกอบการอนาคตยังมีความแข็งแกร่ง

นักวิเคราะห์ บล.เคทีบีเอสที มีมุมมองเป็นบวกจากประเด็นสำคัญ โดยประเมิน SPALI ยอดโอนในไตรมาส 3 ปี 2564 จะยังทำได้ดีเติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน และทรงตัวจากไตรมาสก่อน แม้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรง แต่ยังได้ผลบวกจากคอนโดใหม่ที่เริ่มโอนมากขึ้น ขณะที่ยอดโอนไตรมาส 4 ปี 2564 จะดีขึ้นและเป็นระดับสูงสุดของปี จากกำลังซื้อที่ดีขึ้น โดยมี backlog ครอบคลุมเป้าหมายรายได้ทั้งปี 2564 ของ SPALI แล้วที่ 2.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ขณะเดียวกัน SPALI มองตลาดที่อยู่อาศัยจะฟื้นตัวได้ดีขึ้น โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 4 ปี 2564 ถึง 12 โครงการ มูลค่ารวม 1.6 หมื่นล้านบาท เป็นคอนโด 4 โครงการ มูลค่า 5.8 พันล้านบาท ทำให้ทั้งปี 2564 จะเปิดตัวโครงการใหม่ 28 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 3.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ผลจากการผ่อนเกณฑ์ LTV จะช่วยให้ rejection rate ของ SPALI ลดลงจากปัจจุบันที่ 15% และประเมินว่ายอดโอนจะฟื้นตัวดีขึ้นทั้งแนวราบและคอนโด ทั้งนี้ในปี 2565 ทาง SPALI จะยังเน้นเปิดตัวโครงการแนวราบเป็นหลักเพื่อให้สามารถโอนได้ทันภายในปี 2565 ตามเกณฑ์ LTV

พร้อมทั้งปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้นจากเดิม 4% ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 6.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากยอดโอนไตรมาส 3 ปี 2564 ที่ยังมีทิศทางที่ดี และไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ยังคงเติบโตดีขึ้นจาก backlog ที่สูง ส่งผลให้ปรับรายได้เพิ่มขึ้น 4% เป็น 2.7 หมื่นล้านบาท  เพิ่มขึ้น 32% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 4 ปี 2564 จะดีขึ้นและทำจุดสูงสุดของปีที่ 2-2.1 พันล้านบาท

นอกจากนั้น ยังปรับประมาณการกำไรปี 2565 ขึ้นจากเดิม 4% เป็น 6.8 พันล้านบาท  เพิ่มขึ้น 10% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากผลบวกการผ่อนเกณฑ์ LTV ทำให้แนวโน้มยอดโอนจะเติบโตได้ดีขึ้นจากเดิม ขณะที่มี backlog สำหรับโอนในปี  2565 แล้วที่ 1.4 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 48% จากเป้าหมายรายได้ที่เราประเมินที่ 2.9 หมื่นล้านบาท  เพิ่มขึ้น 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่ง backlog ยังอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากคอนโดเป็นหลัก ขณะที่การเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่มากขึ้นจะช่วยเพิ่มให้รายได้เป็นไปตามเป้าหมาย

ดังนั้นปรับราคาเป้าหมายขึ้นโดยการ rollover ไปเป็นปี 2564 ที่ 28.00 บาท ซึ่งหากนำไปคำนวณจากราคาหุ้นปิดวันที่ 5 พ.ย. 2564 อยู่ที่ 22.80 บาท เท่ากับว่ายังมีอัพไซด์ 22.81%

บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SIS โดย ณ วันที่ 29 ต.ค. 2564 ราคาหุ้นปิด 36.50 บาท เมื่อเที่ยบกับวันที่ 30 ก.ย. 2564 ราคาหุ้นปิด 32.25 บาท พบว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 4.25 บาท หรือขึ้นไป 13.18% ซึ่งหากพิจารณาเบื้องต้นเป็นการเก็งกำไรในส่วนของผลประกอบการอนาคตยังมีความแข็งแกร่ง

นักวิเคราะห์ บล.เคทีบีเอสที มีมุมมองเป็นบวกจากประเด็นสำคัญ โดยประเมินความต้องการสินค้า IT จะยังสูง และไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยภายหลังการกลับมาทำงาน office ขณะที่ธุรกิจ cloud มีโอกาสที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ภายหลังที่บริษัทได้เป็น distributor รายแรกของ AWS ในไทยตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2564 โดยประเมินว่าลูกค้าจะหันมาซื้อบริการ AWS ผ่านบริษัทมากขึ้นจากเดิมซื้อตรง เนื่องจากบริษัทได้ให้ส่วนลด และลดความกังวลจากปัญหาค่าเงินบาท

ขณะที่รายได้ securities จากการให้บริการ subscription จะเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการโจรกรรมข้อมูลทางออนไลน์ที่สูงขึ้น โดยคาดสัดส่วนรายได้ปี 2564-2565 จะเพิ่มขึ้นเป็น 10% และ 15% ของรายได้รวม อีกทั้งประเมินยอดขาย Xiaomi จะยังอยู่ในระดับสูง จากการทำตลาดเชิงรุกของ Xiaomi ที่เพิ่มมากขึ้น และคาดว่ากลุ่มลูกค้าจะไม่ทับซ้อนกับ Fanslink เนื่องจาก Fanslink ได้สิทธิในการขายสินค้าออนไลน์ เท่านั้น ทั้งนี้บริษัทยังคงเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า Xiaomi หลักด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ 60% รวมทั้งประเมินปัญหาเรื่อง Chipset ที่ขาดแคลนจะเริ่มคลี่คลายช่วงปลายปี 2565 จาก Supply โรงงานผลิตที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 774 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และปี 2565 อยู่ที่ 884 ล้านบาท   เพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยจากรายได้ ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นปีละ 32% และ 16% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยความต้องการสินค้า IT ที่สูง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และการลงทุนในระบบ IT infrastructure และ cybersecurities ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2565

รวมทั้งประเมินว่ารายได้จากธุรกิจ cloud มีโอกาสที่จะขยายตัวสูง จากการปรับตัวให้สามารถ work from anywhere ได้ และบริษัทได้สิทธิในการเป็นตัวแทนจำหน่าย AWS รายแรกในไทย และ SG&A/sale ปรับตัวลงเป็น 3.4% และ 3.1% จากการประหยัดจากขนาด

ดังนั้นราคาเป้าหมาย 43.00 บาท ซึ่งหากนำไปคำนวณจากราคาหุ้นปิดวันที่ 5 พ.ย. 2564 อยู่ที่ 37.00 บาท เท่ากับว่ายังมีอัพไซด์ 16.22%

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI โดย ณ วันที่ 29 ต.ค. 2564 ราคาหุ้นปิด 11.30 บาท เมื่อเทียบกับวันที่ 30 ก.ย. 2564 ราคาหุ้นปิด 10.00 บาท พบว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 1.30 บาท หรือขึ้นไป 13% ซึ่งหากพิจารณาเบื้องต้นเป็นการเก็งกำไรในส่วนของผลประกอบการอนาคตยังมีความแข็งแกร่ง

นักวิเคราะห์ บล.เคทีบีเอสที มีมุมมองเป็นบวกจากประเด็นสำคัญ โดยมีการประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 3.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกำไร 9 เดือนแรกของปี 2564 คิดเป็น 75% จากทั้งปี สำหรับกำไรไตรมาส 4 ปี 2564 จะปรับตัวดีขึ้นทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน ตามกำลังซื้อที่กลับมาฟื้นตัวหลังคายล็อกดาวน์ และจะมีการรับรู้รายได้จากโครงการ Park Origin พญาไท เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการโอนโครงการแนวราบเพิ่มมากขึ้นจากการเปิดโครงการใหม่รวม 4 โครงการ

สำหรับกำไรปี 2565 ปรับขึ้นจากเดิม 4% เป็น 3.6 พันล้านบาท  เพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากผลบวกการผ่อนเกณฑ์ LTV ทำให้แนวโน้มยอดโอนจะเติบโตได้ดีขึ้น โดยโครงการ highlight ที่จะเริ่มโอนส่วนใหญ่ เป็นโครงการ JV ได้แก่ Park Origin ทองหล่อ (มูลค่าโครงการ 1.2 หมื่นล้านบาท ทำยอดขายได้แล้ว 74% เริ่มโอนไตรมาส 1 ปี 2565), Park Origin ราชเทวี (มูลค่าโครงการ 3 พันล้านบาท ทำยอดขายได้แล้ว 75% เริ่มโอนไตรมาส 2 ปี 2565) และ Park Origin จุฬา-สามย่าน (มูลค่าโครงการ 4.6 พันล้านบาท ทำยอดขายได้แล้ว 98% เริ่มโอนไตรมาส 4 ปี 2565) รวมถึงจะมีการรับรู้กำไรจากธุรกิจใหม่ที่เป็น recurring เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจ logistics (ร่วมทุนกับ JWD) จะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงกลางปี 2565 รวมถึงธุรกิจ healthcare และ AMC ที่เริ่มมีการรับรู้รายได้

ดังนั้นปรับราคาเป้าหมายขึ้นโดยการ rollover ไปเป็นปี 2565 อยู่ที่ 15.00 บาท  ซึ่งหากนำไปคำนวณจากราคาหุ้นปิดวันที่ 5 พ.ย. 2564 อยู่ที่ 11.00 บาท เท่ากับว่ายังมีอัพไซด์ 36.36%

สำหรับหุ้นข้างต้นในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ถือว่าราคาปรับตัวขึ้นสามารถให้ผลตอบแทนนักลงทุนเป็นอย่างดี ซึ่งหากดูจากผลประเมินของนักวิเคราะห์ที่มองว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 และปีหน้ายังเติบโตแข็งแกร่ง เชื่อว่าราคาอาจมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบราคาเป้าหมายหลังจากยังมีอัพไซด์อีกเยอะ!!

Back to top button