กลุ่มหุ้นเด่นปี 65

แนวโน้มดัชนี SET ปี 2565 กันแล้วเริ่มจาก ประธานกรรมการ FETCO ออกมาให้ความเห็นส่วนตัวเขาคาดการณ์ว่าปี 2565 ดัชนีหุ้นไทยน่าจะไปถึง 1,800 จุด


ตอนนี้บรรดานักวิเคราะห์เริ่มออกมามองแนวโน้มดัชนี SET ปี 2565 กันแล้ว

เริ่มจากสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO

“ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานกรรมการ FETCO ออกมาให้ความเห็นส่วนตัว

เขาคาดการณ์ว่าปี 2565 ดัชนีหุ้นไทยน่าจะไปถึง 1,800 จุด

เหตุผลเพราะตลาดกำลังอยู่ในช่วงของ “ขาขึ้น”

ผสมกับเศรษฐกิจของไทยเติบโตช้ากว่าประเทศอื่น จึงถูกอั้นมาจากปี 2564 จึงทำให้เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะเติบโตสูงกว่าศักยภาพได้

แนวโน้มอัตรากำไรของบริษัทจดทะเบียน (EPS)

บล.ทิสโก้ ประเมินว่า ปี 2565 จะเติบโต 12% จากปีนี้ที่คาดจะโตระดับ 50%

ตัวเลขนี้ถือว่าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มนักวิเคราะห์ที่ต่างคาดการณ์กันไว้

ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะอยู่ในระดับต่ำต่อไป และช่วยหนุนภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นได้ต่อเนื่อง

มาถึงแนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์)

ปีหน้ามีโอกาสไหลเข้ามาเกินระดับ 1 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นเฉลี่ยเดือนละประมาณ 1 หมื่นล้านบาท

กลุ่มหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุนในปี 2565

เช่น กลุ่มท่องเที่ยว บริการและการบริโภค กลุ่มเปิดเมือง (Reopening) ที่ได้รับอานิสงส์จากท่องเที่ยวฟื้น

กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นจะส่งผลให้หนี้เสียในระบบลดลง ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวกลับมาดีขึ้น

และยังมีกลุ่ม Healthcare และหุ้นปลอดภัย (Defensive)

ทว่า มุมมองทั้งหมดนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลง หลังจากโอมิครอน เริ่มระบาดมากขึ้น

และต้องมาดูว่า รัฐบาลจะกลับไปใช้มาตรการเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้หรือไม่

ล่าสุด วานนี้ (22 ธ.ค.) มีมุมมองจาก “ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ “กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง  ประเมินดัชนีปี 2565 ไว้ที่ 1,800 จุดเช่นเดียวกัน

กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทยจะโตต่อเนื่องจากปี 2564

ข้อมูลสนับสนุนมาจากคนได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ต่อเนื่อง และอาจส่งผลให้ภาคท่องเที่ยวกลับมา (แม้จะมีโควิดสายพันธุ์ใหม่อย่างโอมิครอน)

ปัจจัยดังกล่าวจะหนุนให้เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามา

แต่ระหว่างทางดัชนีอาจมีความผันผวน เพราะยังต้องเผชิญแรงกดดันหลายเรื่อง

มาถึงกลุ่มหุ้นเด่นหรือน่าสนใจในมุมมอของหลักทรัพย์บัวหลวง

เริ่มจาก กลุ่มการบริโภค เพราะราคาหุ้นกลุ่มนี้ยังปรับตัวขึ้นไม่มาก เมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน

แถมยังได้รับประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยที่คาดว่าจะสูงขึ้น

โดยเฉพาะหุ้น บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC, บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG และบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL

กลุ่มสถาบันการเงิน นี่ก็รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก

กลุ่มนี้แนะนำ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK

กลุ่มเทคโนโลยี Platform, การบริหารข้อมูลด้านการตลาด และการบริหารความเสี่ยง

ซึ่งปัจจุบันมีความจำเป็นมากขึ้น จากการแข่งขันที่สูงในภาวะตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY และบริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK

กลุ่มที่เคลื่อนไหวไปตามสถานการณ์โควิด-19 เช่น กลุ่มโรงพยาบาล และอุปกรณ์การแพทย์

แม้ที่ผ่านมาราคาปรับขึ้นต่อเนื่อง แต่หลักทรัพย์บัวหลวงแนะคงสัดส่วนการลงทุนไว้เช่นเดิม เช่น บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH

กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี แนะนำ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA

และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แนะนำเพิ่มสัดส่วน

เหตุผลเพราะได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการ และสนับสนุนการลงทุนต่าง ๆ ของภาครัฐ

เช่นบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA

Back to top button