พาราสาวะถี

ถามว่าการระบาดทุกระลอกจนถึงโอมิครอนล่าสุด เป็นความผิดพลาดของประชาชนหรือคนที่มีอำนาจสั่งการและตัดสินใจกันแน่


ฟังโฆษกรัฐบาลป่าวประกาศคำเตือนจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจสงครามโรคยังไม่สิ้นสุด จึงขอทุกฝ่ายถือเป็นวาระแห่งชาติในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและมาตรการสาธารณสุข เพราะไวรัสโควิด-19 สามารถป้องกันได้ หากทุกคนร่วมมือ ร่วมใจ รับผิดชอบต่อตนเองและสังคม รู้สึกสมเพชสิ้นดี ถามว่าการระบาดทุกระลอกจนถึงโอมิครอนล่าสุด เป็นความผิดพลาดของประชาชนหรือคนที่มีอำนาจสั่งการและตัดสินใจกันแน่

ชัดเจนว่าโอมิครอนที่กำลังระบาดเกิดจากการเปิดประเทศที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตีอกชกตัวว่าจะช่วยแก้ปัญหาถังแตกให้รัฐบาล ถึงขั้นโพนทะนาว่านานาประเทศเอาวิธีการของไทยคือการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวแบบไม่ต้องกักตัวหรือเทสต์ แอนด์ โก ไปเป็นแบบอย่าง สุดท้าย เชื้อกลายพันธุ์คนแรกที่พบชายสัญชาติอเมริกันจากสเปน และที่น่าหวาดหวั่นในภาคอีสานคือคลัสเตอร์จากสองสามีชาวกาฬสินธุ์ที่เดินทางมาจากเบลเยียม ก็ล้วนมีต้นตอมาจากการเข้าประเทศในรูปแบบเทสต์ แอนด์ โก ทั้งสิ้น

เช่นนี้จะถามว่าใครต้องรับผิดชอบ จะใช้หมอการเมืองมาอ้างเหตุผลอย่างไรคนก็ไว้วางใจลำบาก ขณะเดียวกันก็เป็นภาพสะท้อนว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจชอบเอาแต่สั่งให้คนซ้ายหันขวาหันตามที่ตัวเองต้องการเท่านั้น มิหนำซ้ำ ยังไม่รู้จักรับผิดในสิ่งที่เป็นความพลาดของกระบวนการในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาที่ตัวเองพร้อมคณะได้ดำเนินการไป ทุกครั้งของการระบาดทั้งที่เห็นกันอยู่ว่าตั้งต้นมาจากอะไร สุดท้ายก็จะถูกโยนให้เป็นภาระความรับผิดชอบร่วมกันของประชาชนทั้งสิ้น

ไม่รู้สึกละอายใจหรือแสดงความรับผิดอะไรทั้งสิ้น พอมีอะไรที่เป็นเรื่องชอบก็จะรีบเสนอหน้า ป่าวประกาศแสดงตัวว่าเป็นผลงานชั้นเลิศ เหมือนอย่างการเปิดประเทศที่กระหยิ่มยิ้มย่องก่อนหน้า มาถึงเวลานี้ถามว่ายังปลื้มใจและพอใจอยู่อีกไหม คุ้มค่าหรือไม่กับความต้องการได้เม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวแล้วประเทศต้องมาตกอยู่ในภาวะการระบาดอีกกระทอก สิ้นปีที่คิดว่าท่องเที่ยวจะคึกคักเม็ดเงินจะสะพัดหลักห้าหมื่นล้านบาท ยังประเมินกันไม่ขาดว่าได้คุ้มเสียหรือไม่หลังจากนั้น

สัญญาณการเมืองเรื่องการขอถอนสมอการเป็นหนังหน้าไฟและหาช่องเอาตัวรอดด้านกฎหมายให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมาของ วิษณุ เครืองาม เป็นตัวบ่งชี้ว่ากลเกมที่ขบวนการสืบทอดอำนาจได้วางกันไว้นั้นมันเริ่มวกกลับมามัดคอตัวเอง ที่เห็นเด่นชัดเวลานี้คือปมของ สิระ เจนจาคะ ที่ถูกเขี่ยกระเด็นพ้นเก้าอี้ส.ส. เนติบริกรไม่กล้าฟันธงแบบเต็มปากเต็มคำ ผลพวงหลังจากนี้กกต.จะต้องตามเล่นงานเอาผิดพรรคสืบทอดอำนาจถึงขั้นยุบพรรค หรือใครต้องรับผิดชอบอีกหรือไม่

ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย การออกแบบกฎหมายในทุกเรื่องตามมาด้วยการใช้ฟันเฟืองจากการแต่งตั้งของอำนาจเผด็จการมาตีความเพื่อประโยชน์ของขบวนการที่วางแผนกันมา ท้ายที่สุด มันก็กลับมาพันตัวเองจนยากที่จะแก้ไขได้ กรณีของรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจเป็นตัวอย่าง จากที่เขียนกันขึ้นมาเพื่อตีกันพรรคเพื่อไทย ย่อยสลายความเข้มแข็งของพรรคการเมือง พอถึงวันที่พรรคของตัวเองจะเติบใหญ่ กลายเป็นบ่วงรัดคอดิ้นไม่หลุด จึงต้องหาทางแก้ไขกันอุตลุดชนิดไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล

ผลจากการตีความแบบหน้ามึนของกกต.ต่อส.ส.ปัดเศษ หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะเป็นปัญหาใหญ่ของพรรคสืบทอดอำนาจ ส่วนบรรดาพรรคเล็กพรรคน้อยที่ได้อานิสงส์จากการแก้ปัญหาเสียงปริ่มน้ำของฝ่ายสืบทอดอำนาจในวันที่จัดตั้งรัฐบาลทั้งที่เป็นพรรคที่ไม่ได้ชนะการเลือกตั้ง วันนี้อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ประเภทใจสู้ก็ประกาศปักหลักลุยกันต่อ พวกหน้าทนไม่สนใจเสียงคนที่เลือกพรรคตัวเองก็เลือกที่จะยุบพรรคย้ายไปเข้าคอกพรรคใหญ่ที่หวังว่าจะเอื้อประโยชน์ให้ได้

กลไกและกระบวนการที่สร้างขึ้นของคณะเผด็จการคสช.จนส่งต่อให้ขบวนการสืบทอดอำนาจ ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันมาต่อเนื่องแต่ก็ขยับปรับเปลี่ยนอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องของการแก้กฎหมายที่สำคัญ รวมไปถึงการเลือกตั้งบุคคลเข้าไปนั่งในองค์กรต่าง ๆ ที่มี 250 ส.ว.ลากตั้งเป็นปราการด่านสำคัญ เหมือนที่สื่อรัฐสภาตั้งฉายาประจำปี 2564 ให้ทั้งวุฒิสภาและประธานวุฒิสภา ซึ่งเชื่อว่าน่าจะตรงกับความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่

โดยฉายาวุฒิสภาที่ว่า “ผู้เฒ่าเฝ้ามรดก (คสช.)” คำอธิบายนั้นชัดเจนยิ่ง ส.ว.ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ถูกมองว่าคอยทำหน้าที่ปกป้องเฝ้ารักษามรดกที่เป็นโครงสร้างและกลไกสืบทอดอำนาจของคสช.อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะการแก้รัฐธรรมนูญที่ทั้งฝ่ายค้านและภาคประชาชนพยายามเสนอขอแก้ไขเรื่องการล้มล้างอำนาจคสช. ทั้งการยกเลิกแผนการปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การยกเลิกคำสั่งต่าง ๆ ของคสช.และหัวหน้าคสช. การยกเลิกส.ว.หรือริบอำนาจส.ว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

ทั้งหมดต่างถูกส.ว.โหวตคว่ำ ไม่ให้ความเห็นชอบทุกครั้ง ใครที่คิดจะทำหรือแก้ไขกฎหมายที่มีผลกระทบต่อกลไกอำนาจของคสช. จะถูกผู้เฒ่าส.ว.ต่อต้าน ขัดขวางไปหมด เหมือนกับคอยพิทักษ์มรดกของคสช.ให้อยู่สืบต่อไป สอดรับกับฉายาของ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา “ร่างทรง” เป็นคนที่ทำงานให้คสช.มายาวนาน ตั้งแต่สมัยคสช.เรืองอำนาจ เป็นประธานสนช.จนมาถึงยุคปัจจุบันที่คสช.กลายร่าง พรเพชรก็ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธานวุฒิสภา

เป็นหัวขบวนของสมาชิกวุฒิสภาคอยช่วยเหลือสนับสนุนภารกิจของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและรัฐบาลเรือเหล็ก แต่บทบาทของพรเพชรในฐานะประธานวุฒิสภา ไม่มีความโดดเด่น ทั้งที่เป็นถึงประมุขสภาสูง และยังถูกมองว่าคอยสนองความต้องการของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ตำแหน่งประมุขสภาสูงของพรเพชรจึงเป็นเพียงหัวโขนทางการเมือง แต่ไม่มีอำนาจแท้จริง ไม่ต่างจากร่างทรงที่ถูกฝ่ายกุมอำนาจกุมบังเหียน ต้องคอยช่วยคอนโทรลให้การทำงานของวุฒิสภาเป็นไปตามความต้องการของรัฐบาล ด้วยกลไกแบบนี้นี่ไงที่ทำให้อนาคตของประเทศมองไปทางไหนจึงวังเวง

Back to top button