น้ำมัน 140 เหรียญ?

ทันทีที่แรงขายถล่มใส่ตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะกังวลเรื่องราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้นทำนิวไฮต่อเนื่อง ก็ทำให้ทุกอย่างพังทลายลงในชั่วพริบตา


*ทันทีที่แรงขายถล่มใส่ตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะกังวลเรื่องราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้นทำนิวไฮต่อเนื่อง ก็ทำให้ทุกอย่างพังทลายลงในชั่วพริบตา และสร้างความหนักใจให้กับนักลงทุนที่คิดจะช้อนหุ้นอย่างมาก หลังทุกคนเห็นพ้องไปในทางเดียวกันว่า สงครามเที่ยวนี้เป็นหนังเรื่องยาวที่จะกดดันการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ และเศรษฐกิจทั่วโลกจะปั่นป่วนจากเรื่องต้นทุนผลิตที่สูงขึ้นเกินการควบคุมน่ะซี

*ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องย้อนรำลึกไปยังเหตุการณ์เก่า ๆ เพื่อชี้ให้เห็นราคาน้ำมันโลกในช่วงที่พีค ๆ เคยขึ้นไปแถว 144 เหรียญต่อบาร์เรลในปี 51 ซึ่งเป็นจังหวะที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์พอดี และส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยที่กำลังเทคตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 900 จุด ไหลรูดลงมาไม่เป็นท่า จนลงมากองอยู่ใต้ 400 จุด พร้อมกับแกว่งตัวออกด้านไปมาในกรอบ 400-450 จุดเป็นเวลาครึ่งปีเลยนะพ่อคุณ

*ที่สำคัญคือ เมื่อนับรวมเหตุการณ์ดังกล่าวตั้งแต่ต้นจนจบ ตลาดหุ้นไทยใช้เวลากับเรื่องน้ำมันร่วมปีเลยทีเดียว ถัดจากนั้นในปี 54 ราคาน้ำมันก็พุ่งกลับขึ้นไปยืนแถว 125 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ทั้งประเทศ จึงส่งผลให้ดัชนีที่เคยยืนบริเวณ 1,150 จุดไหลรูดลงต่อเนื่อง จนสุดท้ายมายืนแถว 850 จุดสักแปบหนึ่ง ต่อจากนั้นก็ใช้เวลาราว ๆ 5 เดือนเพื่อกลับขึ้นไปยืนเท่ากับตอนที่ลงมานะจ๊ะ

*ต่อจากนั้นดัชนีก็ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งเป็นเวลานาน และเป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงกลางปี 57 ช่วงที่ราคาน้ำมันขึ้นมายืนบริเวณ 115 เหรียญต่อบาร์เรล ดัชนีไทยกลับพยายามวิ่งฝ่าแนวต้าน 1,600 จุดหน้าตาเฉย และจุดพลิกผันสุด ๆ ของเรื่องน้ำมันคือปลายปี 57 ราคาน้ำมันอยู่ต่ำกว่า 50 เหรียญต่อบาร์เรล ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ทำให้ดัชนีรูดลงมาแถว 1,420 จุดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเด้งกลับขึ้นไปแถว 1,530 จุดในทันทีเจ้าค่ะ

*จุดที่น่าสนใจอยู่ในปี 58 เพราะเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันร่วงต่อเนื่อง จนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 30 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งทำให้ดัชนีที่อุตส่าห์วิ่งขึ้นเหนือ 1,600 จุดค่อย ๆ แกว่งตัวลงมาตลอดทั้งปี จนสุดท้ายมาทำโลว์ที่บริเวณ 1,250 จุดเสียฉิบ แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดีขึ้นเป็นลำดับ “โมนิก้า” จึงอยากให้แฟนคลับหันมามองข้อมูลตรงนี้เพื่อประกอบการลงทุน เพราะไทม์ไลน์ข้างต้นทำให้รู้ว่า ต้องเน้นเล่นยาวมากเป็นพิเศษพะยะค่ะ

*เนื่องจาก 2 ปีต่อจากนั้น ดัชนีก็วิ่งขึ้นอย่างเดียว จนขึ้นไปแตะระดับ 1,850 จุด และอีกปีครึ่งดัชนีก็วนเวียนไปมาในระดับ 1,600-1,750 จุด ก่อนจะเจอกับวิกฤติโควิดในช่วงปลายปี 62 ตลาดหุ้นทั่วโลกก็เละเป็นโจ๊กไปตามกัน ก่อนสถานการณ์ต่าง ๆ จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ แต่สุดท้ายก็มาเจอเรื่องสงครามระหว่าง “รัสเซีย” กับ “ยูเครน” จนทำให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้นมายืนที่บริเวณ 130 เหรียญต่อบาร์เรลเมื่อคืนวันก่อนไงล่ะคะ

*สถานการณ์ตรงนี้ทำให้ “โมนิก้า” ต้องถามกลับไปว่า ตลาดหุ้นไทยต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันดังกล่าวนานแค่ไหน? และหุ้นกลุ่มไหนที่เหมาะต่อการซื้อลงทุนระยะยาว! เพราะทั้ง 2 ประเด็นจะเป็นตัวชี้ว่า แฟนคลับเหมาะที่จะเข้าเล่นในจังหวะนี้จริงไหม? หลังดัชนีลงหนักต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 1,626.70 จุด ลบไป 45.02 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.27 แสนล้านบาทน่ะซี

*วันนี้เลยต้องถามว่า หุ้นที่บวกสวนภาวะตลาดหุ้นแดงเถือกอย่าง PTTEP จะเดินหน้าทำนิวไฮได้อีกนานแค่ไหน? เพราะการขึ้นเที่ยวนี้มาจากเรื่องน้ำมันแพงเป็นประเด็นหลัก ซึ่งทำให้ทุกคนคาดหวังกำไรงวดนี้จะสวยงามตามท้องเรื่อง วานนี้ถึงเห็นหุ้นขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 153.50 บาท บวกไป 3 บาท หรือขึ้นไป 2% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.84 พันล้านบาทแบบชิล ๆ แต่เผอิญสัญญาณเทคนิคดันเกิดอาการ “เปิดสูงปิดต่ำ” เสียก่อน เลยไม่รู้จะชิลได้นานแค่ไหนเจ้าค่ะ

*เช่นเดียวกับหุ้นน้ำมันหอย SEAOIL ก็เกาะกระแสน้ำมันแพงขึ้นมากับเขาเหมือนกัน “โมนิก้า” เลยไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาร่วม 10 วัน เพราะสถานการณ์ทุกอย่างมันเข้าทางปืนแบบสุด ๆ วานนี้จึงเห็นหุ้นยืนปิดที่ 5.15 บาท บวกไป 0.53 บาท หรือขึ้นไป 11.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.06 พันล้านบาท..ถึงกระนั้นก็ต้องเตือนด้วยความหวังดีว่า การวิ่งขึ้นไปถึง 5.75 บาทแล้วย่อตัวลงมาแรง ๆ มันทำให้เสียทรงไปเหมือนกันนะคะ

Back to top button