พาราสาวะถี

สถานการณ์โควิด-19 ที่อยู่ในภาวะขาขึ้น ทว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ได้หนักใจแต่อย่างใด มีข่าวมาด้วยว่าในการประชุมศบค.ชุดใหญ่วันศุกร์นี้ จะมีการผ่อนคลายกิจการ กิจกรรมเพิ่มขึ้น


สถานการณ์โควิด-19 ที่อยู่ในภาวะขาขึ้น ทว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ได้หนักใจแต่อย่างใด มีข่าวมาด้วยว่าในการประชุมศบค.ชุดใหญ่วันศุกร์นี้ จะมีการผ่อนคลายกิจการ กิจกรรมเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก แต่ข่าวที่คู่ขนานกันมาคือที่ฮ่องกงพบโควิดสายพันธุ์โอมิครอน BA.2.2 ที่ถูกมองว่าอาจจะทำให้ผู้ป่วยมีการอาการหนักและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ตรงนี้ต้องขีดเส้นใต้ โดย นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ บอกว่า ในไทยมีผู้เข้าข่าย 4 คน ซึ่งยังไม่ต้องวิตกกังวล

หวังว่าคงไม่ใช่การกลายพันธุ์ หรือเป็นโควิดสายพันธุ์ที่จะทำให้สถานการณ์กลับมาย่ำแย่อีกครั้ง เนื่องจากบรรดาอาจารย์หมอทั้งหลาย ต่างก็ประเมินกันไว้แล้วว่า ด้วยจำนวนของผู้ติดเชื้อที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ ในที่สุดก็จะถึงจุดพีกและไต่ระดับลงมา จนกระทั่งกลายเป็นโรคประจำถิ่นหรือโรคระบาดที่ไม่รุนแรง อย่างไรก็ตามข้อมูลที่น่าสนใจตามมาคือ จากที่เรียกร้องให้ประชาชนฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือบูสเตอร์โดส เพื่อลดความรุนแรงของโรค ทว่ามีตัวเลขผู้เสียชีวิตส่วนหนึ่งที่ฉีดเข็ม 3 แล้ว ทำให้คนเริ่มกังขา

อย่าลืมเป็นอันขาดว่าแผน 4 ระยะของกระทรวงสาธารณสุขที่จะนำพาโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ที่ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงคุณหมอประกาศไปนั้น การจะคงระดับของผู้ติดเชื้อให้น้อยที่สุดในระนาบ 1-2 พันรายต่อวัน สิ่งสำคัญคือผู้คนต้องมีภูมิคุ้มกันจำนวนมาก แน่นอนว่าฉีดวัคซีนไม่ได้ป้องกันกันการติดเชื้อ แต่ลดการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ทว่าตัวเลขที่เกิดขึ้นในปัจจุบันบูสเข็ม 3 แล้วยังตาย มันจะทำให้คนเมินการฉีดวัคซีนและเป็นอุปสรรคที่จะไปสู่เป้าหมายสำคัญ

หรือว่าท้ายที่สุดมันจะหนีไม่พ้นว่าคนไทยต้องติดกันทุกคนหรือเปล่าจึงจะทำให้หยุดการระบาดได้ โดยที่เรื่องนี้ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ยืนยันว่าไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้ ในเชิงทฤษฎีคงต้องเชื่อหมอ แต่ทางปฏิบัติหากไม่มีมาตรการคุมเข้ม มิหนำซ้ำ ยังจะผ่อนคลายกันมากขึ้น จึงไม่รู้ว่าปลายทางของสถานการณ์มันจะเป็นอย่างไร คงต้องป้องกันตัวเองให้ดีที่สุดและภาวนากันว่าสายพันธุ์ย่อยที่พบ BA.2.2 จะนำไปสู่การระบาดที่รุนแรงอีกคำรบ

การเมืองของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่อยู่ในช่วงเอาใจทุกคน ทุกพรรคในซีกรัฐบาล หลังจากพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เป็นแม่งานจัดดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดยมีเสียงน้อยใจมาจากบรรดาพรรคเล็กพรรคน้อยว่าไม่ได้อยู่ในสายตา จนกระทั่งท่านผู้นำต้องยอมลดตัวมาเกลือกกลั้วด้วยการนัดหมายที่จะกินข้าวเย็นกับพรรคการเมืองเหล่านั้นในวันที่ 17 มีนาคมนี้ ที่สโมสรราชพฤกษ์ ถนนวิภาวดีรังสิต ที่เดิมที่เคยกินกันไปก่อนหน้า

ล่าสุดก็มีข่าวว่าพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ขอให้เลื่อนนัดหมายดังกล่าวออกไปก่อน เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาไม่พอใจกันหนักเข้าไปอีก เนื่องจากมีข่าวว่าพรรคประชาธิปไตยใหม่ของ สุรทิน พิจารณ์ ไม่ได้รับเทียบเชิญด้วย อันเนื่องมาจากเป็นสายตรงที่สนิทชิดเชื้อกับ ธรรมนัส พรหมเผ่า จากพรรคเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามพลันที่มีข่าวนี้ว่าพี่ใหญ่แตะเบรก ทาง ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกรัฐบาลก็ยืนยันทันควันว่า งานนี้ไม่ได้เลื่อนออกไปแต่อย่างใด

แต่น่าสังเกตในคำพูดของกระบอกเสียงรัฐบาล ที่อ้างว่าที่ผ่านมาผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่เคยเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นพรรคใหญ่หรือพรรคเล็ก เพราะทุกพรรคล้วนมีส่วนในการช่วยขับเคลื่อนประเทศในนามของรัฐบาลเหมือนกัน ทั้งนี้เมื่อพรรคเล็กอยากรับประทานอาหารร่วมกับท่านผู้นำเพื่อหารือเรื่องงาน ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ยินดี และจะชวนพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดมารับประทานอาหารด้วยกันอีกด้วย ตรงนี้ถูกพรรคเล็กบางพรรคนำไปตั้งข้อสังเกตว่า นี่ไม่ใช่ความจริงใจแต่ทำให้พรรคเล็กเสียหายอีกต่างหาก

ภาพของการทำตัวอยู่บนหอคอยงาช้าง อ้างความมีบุญคุณจากการร่างกติกาที่ทำให้พรรคเล็กพรรคน้อยทั้งหลายได้มีส.ส.เข้ามาในสภาและได้มาร่วมรัฐบาล การที่โฆษกรัฐบาลออกมาพูดเช่นนี้ เหมือนเป็นการตอกย้ำว่า พรรคเล็กทั้งหลายเอาแต่ต่อรอง และเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลเรือเหล็ก ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว พรรคเหล่านั้นที่ยังคงเหนียวแน่นอยู่ได้ เกิดจากความใจถึงพึ่งได้ของธรรมนัสและการให้เกียรติกันของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ต่างหาก

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง หากไม่มีการยกหูเคลียร์ใจกัน อาจจะทำให้บางพรรคตัดสินใจไม่ไปร่วมงานดังกล่าว ส่วนเศรษฐกิจไทยเพื่อไม่ให้เสียมารยาท และเป็นการให้เกียรติกับพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. ก็จะมีส.ส.ส่วนหนึ่งไปร่วมงานเลี้ยงนี้ แต่ไร้เงาคนชื่อธรรมนัสแน่นอน กระนั้นก็ตาม การไม่เข้าร่วมก็ไม่ได้หมายความว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะสบายใจ แม้จะมองว่าพรรคเหล่านี้มีกันคนละไม่กี่เสียง แต่เมื่อตีภาพว่าเป็นก๊วนของผู้กองมันคือแป้ง เมื่อรวมพลังกันแล้วย่อมสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี

เหมือนที่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า การที่พรรคเล็กนัดกินข้าวกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ทรงพลังกว่าพรรคใหญ่ที่กินกันไปก่อนหน้านี้เสียอีก เพราะขณะนี้ 30 เสียงคือตัวแปรที่จะไปตรงไหนก็ได้ ฉะนั้นถ้าใครสามารถจัดการ 30 เสียงนั้นได้ก็จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ เรียกได้ว่านัดครั้งนี้ท่านผู้นำไม่มีทางเลือกจริง ๆ ขนาด จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังออกปาก ในระบบรัฐสภา เสียงในสภาผู้แทนราษฎรมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

อย่าลืมเป็นอันขาด เปิดสภาสมัยหน้า กฎหมายสำคัญของรัฐบาลคือร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2566 จะเข้าสู่การพิจารณา ถ้ากฎหมายนี้ไม่ผ่านจะทำให้รัฐบาลต้องยุบสภา หรือลาออก แต่โดยปกติแล้วนักเลือกตั้งคงไม่มีใครทำให้กฎหมายนี้มีปัญหา ทว่าหลังจากนั้นหากจัดสรรปันส่วนกันไม่ลงตัว ยังมีกฎหมายของรัฐบาลอีกหลายฉบับที่ต้องอาศัยเสียงในสภา ถ้ารัฐบาลแพ้เสียงในประเด็นที่มีความสำคัญมันก็จะกระทบกับเสถียรภาพของรัฐบาลได้ ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหยอดคำหวานกับ อนุทิน ชาญวีรกูล จากภูมิใจไทยว่า “คนละพรรคแต่ไม่ทะเลาะกัน” ถ้าทุกอย่างลงตัวก็ไร้ปัญหา แต่ถ้าไม่สมประโยชน์ก็ตัวใครตัวมันชัวร์

Back to top button