ขวัญกำลังใจ ‘ยูเครน’ สุดแกร่ง

เซเลนสกี ไม่ได้รับความนิยมหรือเป็นที่เคารพรักของชาวยูเครนสักเท่าไหร่ก่อนสงคราม แต่กลับกลายเป็น “วีรบุรุษ”


แม้ว่ารัสเซียจะยื่นคำขาดให้ประชาชนในเมืองมาริอูโปล ของยูเครนยอมแพ้ภายในวันจันทร์ที่ผ่านมาแล้วจะรับประกันความปลอดภัย และได้ยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เตือนว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กำลังพิจารณาใช้อาวุธเคมี แต่ยูเครนก็ยังปฏิเสธที่จะยอมยกธงขาว มิหนำซ้ำผลสำรวจยังชี้ว่า ชาวยูเครนมากกว่า 90% ยังเชื่อมั่นว่าประเทศของพวกเขาจะชนะสงคราม มันน่าคิดว่าทำไมขวัญและกำลังใจของคนยูเครนจึงดีมากขนาดนั้น แม้รู้ทั้งรู้ว่ายังไงตัวเองก็เป็นมวยรอง

แม้ว่ามีตัวเลขคนอพยพไปยังประเทศต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก แต่คนที่อพยพส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กและสตรี ผู้ชายยังคงปักหลักอยู่ในประเทศ และชาวยูเครนที่อยู่ในต่างประเทศก็พากันเดินทางกลับบ้านเพื่อปกป้องมาตุภูมิ

เมื่อเปรียบเทียบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยูเครนในขณะนี้กับที่เกิดขึ้นในอัฟกานิสถานเมื่อปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ยังยืนหยัดเคียงข้างกับชาวยูเครน ไม่หนีไปไหนเหมือนที่ประธานาธิบดีอัชราฟ กานี ของอัฟกานิสถานได้ชิงหลบหนีไปอยู่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เสียก่อนที่กลุ่มตาลีบันจะเข้ายึดกรุงคาบูลได้สำเร็จ

หรือไม่ก็อาจเป็นไปได้ว่า เหตุการณ์ในอดีตที่ยูเครนและรัสเซียผูกพันกันมา มันมีบาดแผลที่ “ติดค้าง” อยู่ในใจของชาวยูเครนมาก เช่น การผนวกไครเมีย เมื่อปี 2557 หรือว่าแรงชิงชังที่มีต่อรัฐบาลมอสโกและ ประธานาธิบดีวาดิมีร์ปูติน มันมากเกินกว่าที่จะยอมจำนนอีกต่อไป

ในทางกลับกัน “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ที่ปูตินใช้อ้างในการรุกรานยูเครนเมื่อสี่สัปดาห์ก่อน กลับทำให้คะแนนนิยมของเขาตกต่ำอย่างหนัก แม้ไม่มีผลสำรวจอิสระออกมาชี้ตัวเลขกันชัด ๆ และมีแต่ข่าวโฆษณาชวนเชื่อว่าคะแนนนิยมในตัวปูตินยังคงสูงหลังการบุกยูเครน แต่เราก็ได้เห็นข่าวที่คนรัสเซียจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับการกระทำของประเทศตนเองในครั้งนี้ และออกมาประท้วงต่อต้านสงครามในยูเครนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะโดนจับขังคุกไปจำนวนมากก็ตาม

ภาพที่บรรณาธิการข่าวคนหนึ่งไปถือป้ายไม่เอาสงครามด้านหลังผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์รัฐช่องหนึ่งขณะที่กำลังรายงานข่าว  เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าแรงต่อต้านของคนรัสเซียมีพลังรุนแรงและบ้าบิ่นเพียงไร ทั้งที่รู้ว่าผลที่ตามมาคือการติดคุก

ในขณะเดียวกันการที่ปูตินได้ออกโทรทัศน์ขู่ลงโทษคนที่ทรยศชาติ และเริ่มดำเนินกลยุทธ์ที่รัสเซียมักใช้ในยุคโซเวียต คือให้ประชาชนแจ้งรัฐถึงความเคลือบแคลงสงสัยถึงความไม่ซื่อสัตย์ของเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน และแม้แต่สมาชิกในครอบครัว ก็ชี้ได้ว่าปูตินเริ่มไม่มั่นใจเช่นกัน

ในช่วงที่ปูตินผนวกดินแดนไครเมียเข้าเป็นของรัสเซียเมื่อปี 2557 ปูตินได้รับคะแนนนิยมในประเทศสูงถึง 82% จากที่อยู่ในระดับประมาณ 69% ก่อนบุกไครเมีย เมื่อดูจากข้อมูลของ เลวาดา เซนเตอร์ แต่ในครั้งนี้ การประณามปูตินและมาตรการคว่ำบาตรที่ทั่วโลกร่วมมือกันอย่างแข็งขัน ไม่เพียงแต่ทำให้ความเป็นอยู่ของชาวรัสเซียทั่วไปได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แต่ยังมีผลต่อความมั่งคั่งและทรัพย์สินของมหาเศรษฐีรัสเซียที่มีสายสัมพันธ์กับปูตินด้วย จึงเชื่อว่า คะแนนนิยมของปูตินหลังการรุกรานยูเครนคงไม่สูงเหมือนตอนผนวกไครเมีย

ความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจที่น่าจะรุนแรงกว่ามากในรอบนี้ และการเสียชีวิตของทหารรัสเซียเป็นจำนวนมากตามที่ยูเครนได้อ้าง น่าจะทำให้ ปูตินเสื่อมความนิยมอย่างหนักจากการทำศึกครั้งนี้ แม้ว่าข้อมูลที่รัฐบาลมอสโกพยายามโฆษณาชวนเชื่อในทางตรงข้ามว่าคะแนนนิยมของเขายังสูงอยู่เหมือนเดิม ซึ่งนับตั้งแต่ขึ้นปกครองรัสเซียคะแนนนิยมของปูตินไม่เคยต่ำกว่า 50% เลย

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เชื่อว่าปูตินคำนวณผิดอย่างมหันต์ในการบุกยูเครน แผนการที่ได้วางมานานหลายปีที่จะล้อมทหารยูเครนในเขตดอนบาสส์  ทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางการทหารและเศรษฐกิจที่สำคัญ ล้อมกรุงเคียฟ และเมืองคาร์คีฟ เมืองใหญ่อันดับสอง โดยคิดว่าเซเลนสกี้จะยอมแพ้ ทหารยูเครนจะไม่ต่อสู้และ ชาติตะวันตกจะไม่กล้าคว่ำบาตรรุนแรงขนาดนี้ กลับตาลปัตรไปหมด

มีนักวิเคราะห์บางคนตั้งข้อสังเกตว่า รัสเซียกำลัง “แพ้สงครามสื่อสาร” และทั่วโลกกำลังมองรัสเซียว่าเป็น “วายร้าย” และมองว่า “คำพูด” กับ “การกระทำ” ของปูตินไม่ตรงกัน เมื่อเทียบกับความกล้าหาญของประธานาธิบดีและประชาชนในยูเครน

เซเลนสกี ไม่ได้รับความนิยมหรือเป็นที่เคารพรักของชาวยูเครนสักเท่าไหร่ก่อนสงคราม แต่กลับกลายเป็น “วีรบุรุษ” ที่สามารถสร้างขวัญกำลังใจและแรงจูงใจให้ชาวยูเครนฮึดสู้มาจนร่วมเดือนแล้ว ก็ต้องถือว่าไม่ธรรมดา ภาพที่เขาสวมเสื้อยืดคอกลมออกโทรทัศน์หรือผ่านโซเชียลมีเดีย เป็นภาพที่คงต้องจารึกและจดจำกันไปจนชั่วลูกชั่วหลาน

เซเลนสกีอาจจะไม่ใช่ผู้นำที่ดีและเก่ง แต่ความกล้าบ้าบิ่น และการยืนหยัดอยู่เคียงข้างประชาชนโดยไม่รักตัวกลัวตาย ในยามที่สถานการณ์กำลังเลวร้ายและคับขันเยี่ยงนี้ มันได้ใจประชาชนไปเต็ม ๆ แม้ว่าสุดท้ายแล้วยูเครนจะเหลือแต่ซากปรักหักพังก็ตาม

Back to top button