ต้นแบบ ตามทวงหนี้+ร่วมทุนแบงก์

สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะตัวแปรหลายอย่างยังคอยกดดันการทะยานขึ้นของดัชนีตลอดเวลา


*สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะตัวแปรหลายอย่างยังคอยกดดันการทะยานขึ้นของดัชนีตลอดเวลา จนทำให้นักลงทุนสถาบันต้องขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงออกมาต่อเนื่อง และหนึ่งในปัจจัยที่เป็นตัวเร่งสถานการณ์ดังกล่าวก็คือ “เงินเฟ้อ” ซึ่งกลายเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจทั่วโลกให้ดำดิ่งลงไปอีก จึงมองไม่เห็นโอกาสที่ดัชนีจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในระยะสั้นนะจ๊ะ

*ฉะนั้นการที่ดัชนีทรุดตัวลงมาปิดที่ระดับ 1,675.33 จุด ลบไป 15.26 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.13 หมื่นล้านบาท จึงกลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างแน่นอน ซึ่งเหมือนกับที่ “โมนิก้า” จั่วหัวเมื่อวันก่อนว่า “เดี๋ยวโดนทุบอีก” เพราะดูจากแนวโน้มต้นทุนชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้น และกำลังซื้อที่หดหายลงไปเรื่อย ๆ ก็มองไม่เห็นโอกาสที่บริษัทจดทะเบียนจะทำผลงานได้อย่างโดดเด่นจากช่วงที่เหลือของปี 65 นะจะบอกให้

*วันนี้ถึงต้องยอมรับความจริงที่ว่า หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาข้าวของแพง ก็อย่าหวังเห็นการฟื้นตัวที่เป็นรูปธรรม เพราะอย่างดีสุดก็คงได้เห็นแค่ฝนห่าเดียว โดยหุ้นขนาดใหญ่กลับมาเป็นเป้าหมายถูกขายอีกครั้ง “โมนิก้า” ถึงเชื่อเหลือเกินว่า วันนี้ต้องชิงลงมือซื้อหุ้นที่สามารถ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาส” ได้อย่างโดดเด่น และธุรกิจที่เดี๊ยนสนใจมากเป็นพิเศษก็คือ ตามหนี้พะยะค่ะ

*สาเหตุที่เทน้ำหนักมาที่หุ้นกลุ่มนี้มากเป็นพิเศษ ล้วนเป็นผลมาจากหนี้เสียที่อยู่ในระบบธนาคารค่อนข้างเยอะ และแบงก์หลายแห่งกำลังซุ่มเจรจากับบริษัทตามหนี้ต่าง ๆ เพื่อร่วมจัดตั้ง “บ.บริหารหนี้” เดี๊ยนเลยรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินข่าวดังกล่าวกระแทกรูหู เพราะมันหมายความว่า บริษัทเหล่านั้นจะโตสวนกระแสเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และแวลูของหุ้นจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญไงล่ะคะ

*โดยเฉพาะในรายของ JMT ถือเป็นทีเด็ดที่ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยปากชมเป็นประจำ เพราะนี่คือต้นแบบของการจัดตั้งเอเอ็มซีที่บริษัทต่าง ๆ เอาไปเป็นแม่แบบในการเพิ่มพอร์ตตามหนี้ ยิ่งทุกคนได้เห็นการจับมือร่วมกับ “ธ.กสิกร” ยิ่งทำให้แวลูของหุ้นสูงขึ้นไปอีก และในไม่ช้าก็คงได้เห็นการประกาศตั้งเอเอ็มซีร่วมกับแบงก์สีต่าง ๆ ออกมาอีก วานนี้ราคาหุ้นเลยเด้งรับข่าวด้วยการขึ้นมาปิดที่ระดับ 84.75 บาท บวกไป 2.75 บาท หรือขึ้นไป 3.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1 พันล้านบาท พร้อมกับอัพเป้าขึ้นไปแตะระดับ 100 บาทแล้วนะคะ

*อีกรายที่ทรงสวยไม่ใช่เล่น และเดินตามรอยมาห่าง ๆ “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น CHAYO ภายใต้การกุมบังเหียนของ “เฮียสุขสันต์” เพราะเป็นอีกหนึ่งรายที่จับมือกับแบงก์เขียวเป็นที่เรียบร้อย และมีลุ้นได้บริหารพอร์ตในระดับหมื่นล้านกันเลยทีเดียว “โมนิก้า” ถึงเชื่อว่า ช่วงครึ่งปีหลังกำไรโตแน่! และการยืนปิดที่ระดับ 12.70 บาท บวกไป 0.10 บาท หรือขึ้นไป 0.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 52 ล้านบาท ก็สามารถลงทุนได้สบาย ๆ เจ้าค่ะ

*ส่วนในรายของเสือสุ่มอย่าง BAM ก็มีข่าวให้ได้ยินแว่ว ๆ กำลังซุ่มเจรจาเพื่อทำหน้าที่ขาย NPA ให้กับแบงก์ต่าง ๆ เหมือนกัน “โมนิก้า” ถึงมองว่า ในช่วงครึ่งปีหลังจะโชว์แสงแบบสุดติ่งกระดิ่งแมว เพราะเมื่อไล่เรียงไทม์ไลน์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันเป็นจังหวะที่ลงล็อกทุกอย่างพอดี เดี๊ยนถึงมองว่า การย่อตัวลงมาปิดที่ 20.10 บาท ลบไป 0.20 บาท หรือลงไป 1% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 270 ล้านบาท คือการย่อลงมาให้รับของคนที่มีเงินเย็นนะจะบอกให้

*คิดดูแล้วกัน! ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเชื่อว่า TH จะเดินมาได้ไกลขนาดนี้ และบริหารหนี้ที่มีมูลค่าสูงถึงสามพันล้านได้เลย! แต่วันนี้กลับกลายเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคประดับ 5 พันล้าน (ปี 63 อยู่แค่ 500 ล้าน) “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับลองใช้กรณีศึกษาของหุ้นตัวนี้เป็นตัวเทียบเคียงกับพวกพรี่..พรี่ ข้างต้น ต่อจากนั้นจะเข้าใจเหตุผลที่หุ้นขึ้นมาปิด 6.30 บาท บวกไป 0.45 บาท หรือขึ้นไป 7.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 106 ล้านบาทนะจ๊ะ

*ปิดท้ายขอโยกสายตาไปมองหุ้นฟอร์มฮอต จนแมงลือเม้าท์ให้แซ่ดว่า โอเว่อร์รีแอคอย่างหุ้น FSMART กันสักหน่อยดีกว่า เพราะการขึ้นมาปิดที่ระดับ 26.75 บาท บวกไป 3.65 บาท หรือขึ้นไป 15.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.07 พันล้าน “โมนิก้า” มองเป็นเกมที่ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี (ไม่เหมือนเกมที่ลิเวอร์พูลบดชนะเอฟเวอร์ตัน) จึงบอกได้แค่ว่า ใครทำตัวชักช้า “เจอ จ่าย จบ” แน่นอนจ้า!

Back to top button