แผลเป็นหนี้เน่า

วันนี้เป็นอีกครั้งที่ “โมนิก้า” ต้องเม้าท์ถึงเหตุการณ์เก่า ๆ ในอดีตเพื่อชี้ให้เห็นโอกาสทางธุรกิจยังเปิดกว้างตลอดเวลา


วันนี้เป็นอีกครั้งที่ “โมนิก้า” ต้องเม้าท์ถึงเหตุการณ์เก่า ๆ ในอดีตเพื่อชี้ให้เห็นโอกาสทางธุรกิจยังเปิดกว้างตลอดเวลา โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง “เงิน ๆ ทอง ๆ” มันคือจังหวะของการกอบโกยรายได้แบบไม่อั้น และมันก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้บริหารเฉียบคมขนาดไหน? เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มาบ่อย ๆ จึงต้องเตรียมฐานทุนให้พร้อมสำหรับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นพะยะค่ะ

ประเด็นข้างต้นทำให้เดี๊ยนไม่วอรี่กับอาการแกว่งตัวของตลาดหุ้นไทย เพราะมันเป็นช่วงเวลาของการพักฐานเพื่อสะสมแรงซื้อ ต่อจากนั้นถึงจะทะยานขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 1,700 จุด “โมนิก้า” จึงรู้สึกแฮปปี้เมื่อเห็นดัชนีย่อตัวลงมาปิดที่ระดับ 1,673.25 จุด ลบไป 5.72 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.64 หมื่นล้านบาท เพราะมันทำให้รู้ว่า ตลาดหุ้นไทยควรจะได้ไปต่อไหม? และยังเปิดโอกาสให้คนที่กลัวสามารถกระโดดหนีระหว่างทางได้อีกด้วยไงล่ะจ๊ะ

ฉะนั้นไม่ต้องมาถามเดี๊ยนว่า กลัวเหมือนกับคนอื่นไหม? เดี๊ยนตอบได้ทันทีว่า ไม่กลัว! เพราะโมเมนตัมหลายอย่างดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความจำเป็นต้องเลียแผลให้หายสนิทเช่นกัน จึงกลายเป็นเกมหุ้นที่ต้องดูกันยาวมากเป็นพิเศษ เพราะวันนี้ยังไม่มีใครพลาดท่าเสียทีให้กับอีกฝ่าย เลยกลายเป็นเกมการแข่งขันที่ทำให้ต่อมอะดรีนาลีนของอีฉันทำงานถี่เหลือเกินนะจะบอกให้

เรื่องราวข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเม้าท์มอยถึงหนี้สินครัวเรือน เพื่อชี้ให้เห็นโอกาสทองของบริษัทที่ทำธุรกิจตามหนี้ เพราะถ้าย้อนกลับไปในปี 40 จะเห็นว่า ธุรกิจขนาดใหญ่ประสบปัญหาฟองสบู่แตกกันถ้วนหน้า และผลกรรมก็ตกมาที่ประชาชนตาดำ ๆ ซึ่งต้องแบกหนี้หลังอาน ต่อจากนั้นก็มาเจอวิกฤติแฮมเบอเกอร์ในปี 51 ซึ่งสร้างปัญหาให้กับธุรกิจส่งออก ส่วนธุรกิจภาคอื่น ๆ ยังพอไปได้ แต่หนี้ครัวเรือนก็ยังเพิ่มขึ้นไม่หยุดอีกเช่นกันนะคะ

พอถึงในปี 61 ก็มีเรื่องน่าตกตะลึงเมื่อพบว่า มูลค่าหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์มาอยู่ที่ 3.16 แสนบาท หรือโตขึ้นราว 5.8% ซึ่งมีการประเมินกันว่า ไม่น่าห่วง! เพราะเป็นการก่อหนี้ด้วยการซื้อสินทรัพย์ และลงทุน แต่ทันทีที่โควิดมาแบบจัดเต็มในปี 63 ก็ทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนหนักสุด ๆ แถมโรคระบาดดังกล่าวก็ลากยาวจนมาถึงปี 65 พร้อมกับก่อหนี้เสียในระบบการเงินสูงถึง 2 ล้านล้านบาท โดยสถาบันการเงินต่าง ๆ ยังอมไว้ และเตรียมจะปล่อยออกมาในเร็ว ๆ นี้เจ้าค่ะ

ตรงนี้กลายเป็นประเด็นที่ “โมนิก้า” อยากให้แฟนคลับตามดูแบบห่าง ๆ เพราะเรื่องนี้ส่งผลโดยตรงกับหุ้นทวงหนี้ และดาวเด่นที่ถูกสปอร์ตไลท์ฉายมาเต็ม ๆ ก็คือหุ้น JMT ซึ่งเป็นลูกรักของ JMART นั่นเอง!..ว่ากันว่า ตอนนี้กำลังซุ่มทำอะไรบางอย่างเพื่อต่อยอดการตามหนี้ “มีหลักประกัน” และ “ไม่มีหลักประกัน” ซึ่งจะกลายเป็นเจ้าพ่อทวงหนี้ที่ใหญ่สุด และทำให้การย่อตัวมาปิดที่ 66.25 บาท ลบไป 1.25 บาท หรือลงไป 1.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 305 ล้านบาท น่าสนใจจ้า!

ส่วนในรายของน้องแบมแบม BAM ก็สร้างสตอรี่ที่ทำให้เคลิบเคลิ้มได้เนือง ๆ แต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่มีอะไรในกอไผ่เสียอย่างนั้น จึงกลายเป็นหุ้นที่ทำให้นักเล่นสงสัยในความสามารถเป็นประจำ และคราวนี้ก็มีประเด็นให้ชาวหุ้นได้ฉุกคิดอีกเช่นกันว่า เที่ยวนี้จะมีส่วนร่วมกับหนี้เน่าสองล้านล้านหรือเปล่า? รวมทั้งการลงมายืนปิดที่ระดับ 15.30 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 2.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 493 ล้านบาท น่าเล่นเหรอ?

สำหรับในรายของ CHAYO ก็อาศัยกลยุทธ์พลิ้วไหวดั่งสายลมเป็นตัวเดินเกม พร้อมกับเดินหน้าลุยประมูลหนี้ใหม่เข้ามาตลอดเวลา เพราะเป็นเพียงยุทธวิธีเดียวที่จะทำให้ต้นทุนเฉลี่ยไม่สูงมากเกินไป “โมนิก้า” เลยไม่แปลกใจที่บางปีกำไรโตกระฉูดเหลือเกิน แต่ในบางปีกำไรกลับทรงตัวเสียอย่างนั้น! จึงทำให้การขยับตัวในรอบครึ่งเดือนน่าสนใจมาก ๆ เพราะการยืนปิดที่ 8.95 บาท บวกไป 0.20 บาท หรือขึ้นไป 2.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 38 ล้านบาท มันต้องมีซัมติงบางอย่างแน่ ๆ เจ้าค่ะ

ประเด็นนี้ทำให้ “โมนิก้า” นึกถึงน้องใหม่กลุ่มตามหนี้อย่าง CHASE ขึ้นมาทันที เพราะรายนี้ก็ทำธุรกิจให้ “สินเชื่อ” และ “ทวงหนี้” เป็นเวลานาน และเตรียมตัวเข้าตลาดหุ้นภายในไตรมาส 1 จึงน่าจะมีสตอรี่เด็ดให้นักลงทุนได้บรรเลงกันอย่างเต็มที่ ผสานกับปีที่ผ่านมาก็เห็นกันแล้วว่า หุ้นน้องใหม่ประเภทนี้ไปได้สวย! เดี๊ยนเลยอยากให้แฟนคลับลองหาข้อมูลหุ้นตัวนี้ไว้บ้าง..เดี๋ยวจะหาว่า มีอะไรดีแล้วไม่บอก!..ไม่เชื่อลองถาม “เฮียฮ้อ” ดูก็ได้..อิอิอิ

Back to top button