พาราสาวะถี

ยุบสภาตอนนี้ไม่ได้เพราะ กกต.ยังไม่ได้แบ่งเขตเลือกตั้ง กลายเป็นข้ออ้างของทั้งองค์กรอิสระและฝ่ายกุมอำนาจ โดยพยายามเรียกร้องให้ประชาชนเข้าใจว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะดึงเวลาให้ล่าช้าออกไป


ยุบสภาตอนนี้ไม่ได้เพราะ กกต.ยังไม่ได้แบ่งเขตเลือกตั้ง กลายเป็นข้ออ้างของทั้งองค์กรอิสระและฝ่ายกุมอำนาจ โดยพยายามเรียกร้องให้ประชาชนเข้าใจว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะดึงเวลาให้ล่าช้าออกไป เพราะความไม่พร้อมของพรรครวมไทยสร้างชาติที่มีผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั่งเป็นหัวเรือใหญ่อยู่ อธิบายในเชิงหลักการก็ว่ากันไป แต่ในความเป็นจริงหากไม่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม หรือเอาที่สบายใจ ทุกอย่างมันเร่งรัดดำเนินการให้เร็วได้

ต้องอย่าลืมว่า สถานการณ์ทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาเวลานี้มันไม่สู้ดี เดิมล่มแต่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร สภาล่างที่มีปัญหากันตลอดเวลาอยู่แล้ว ตอนนี้ลามไปถึงประชุมรัฐสภาที่ ส.ว.ก็เล่นเกมสร้างความปั่นป่วนเหมือนกัน ถ้างานสภาเดินไม่ได้ จะปล่อยให้เสียเวลา เปลืองงบประมาณไปเพื่ออะไร ส่วนที่หวังว่าจะใช้เวทีซักฟอกตามมาตรา 152 ที่กำหนดไว้ 15-16 กุมภาพันธ์นี้ โชว์สกิลทางการเมืองของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ คิดว่าทุกอย่างมันจะเข้าทางจนสร้างความได้เปรียบอย่างนั้นหรือ

ปมการทุจริตผุดขึ้นเป็นรายวัน ล่าสุด ก็เรื่องงามหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวางไปตั้งด่านหน้าสถานทูตจีนประจำประเทศไทย แล้วไปรีดเงินกับดาราสาวชาวไต้หวันเป็นเงิน 27,000 บาท วันหยุดที่ผ่านมา บช.น.เพิ่งแถลงข่าวไม่มีข้อมูลชี้ชัดว่าเจ้าหน้าที่ไปเรียกรับเงิน ทำท่าว่าจะปิดคดี แต่ชั่วข้ามคืน ก็มีตำรวจในชุดจับกุมยอมเปิดปากสารภาพมีการรับเงินจริง จน พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.ต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวปัดป้องเรื่องความไม่ชอบมาพากลเป็นพัลวัน

งานนี้ไม่ใช่แค่ทำให้ประเทศชาติขายขี้หน้า แต่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ต้องแสดงท่าทีอย่างหนึ่งอย่างใดด้วย ไม่ใช่เอาแต่โบ้ยเป็นเรื่องของพวกนอกแถวต้องจัดการกันตามกฎหมาย อย่าลืมว่าประเด็นความมัวหมองของวงการสีกากีนั้น ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ขุดคุ้ยและเปิดโปงมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่คดีตู้ห่าวจนกระทั่งเรื่องรีดเงินดาราสาวไต้หวัน ซึ่งการรับสารภาพนั้น ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากคำขู่ของชูวิทย์ที่ว่ามีข้อมูลเรื่องนี้แน่นหนา อย่าคิดบิดเบือนเป็นอันขาด

เมื่อประเด็นความฉาวโฉ่ของแวดวงตำรวจถูกขุดขึ้นมาประจานต่อเนื่อง ย่อมส่งผลต่อการซักฟอกของฝ่ายค้านที่จะมีขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่าลืมเป็นอันขาดชูวิทย์ประกาศไว้แล้วว่าถ้าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่สะสางเรื่องที่เป็นปัญหาให้โปร่งใส ยังใช้วิธีตีกรรเชียง ต้องได้เห็นดีกันแน่ ในความหมายที่ชูวิทย์สื่อแบบตรง ๆ ก็คือต้องมีการย้าย ผบช.น.ให้พ้นไปจากตำแหน่ง คนที่มีข้อมูลมากและไม่ธรรมดาแบบนี้ถ้ามีการเล่นตุกติก ข้อมูลเด็ดทั้งหลายอาจจะถูกส่งไปถึงมือฝ่ายค้านเพื่อชำแหละในสภาก็เป็นได้

ยังไม่นับรวมข้อมูลภายในของบรรดาข้าราชการทุกสายที่ถูกอำนาจเผด็จการสืบทอดอำนาจกดทับมายาวนาน ที่อาจจะหลั่งไหลไปให้ฝ่ายค้านได้ใช้เป็นไม้เด็ดในการซักฟอกหนนี้ ไม่จำเป็นต้องมีการลงมติไว้วางใจหรือไม่ แต่ถ้าตีถูกจุด ลากไส้มาประจานกันแบบจะจะ ชนิดหลักฐานแน่นหนาก็ยากที่จะหน้าทนถูลู่ถูกังอยู่กันแบบยาว ๆ ได้ ไม่ว่าจะมีการวางองคาพยพเพื่อการสืบทอดไว้อย่างไร หากกระแสจุดติดทำให้ประชาชนเกิดการลุกฮือ อำนาจแบบไหนก็เอาไม่อยู่

ความวิบัตินั้นเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะกับคนที่เหลิงในอำนาจ เชื่อมั่นว่าทุกอย่างได้จัดวางจนยากที่จะเล่นงานตัวเองได้ แต่เมื่อบริวารเป็นพิษ พวกที่ให้อำนาจไปจัดการฝ่ายตรงข้ามทำตัวกังฉิน หน้ากากคนดีย่อมถูกถอด เปลือยธาตุแท้ล่อนจ้อนให้สังคมได้เห็นว่า แท้จริงแล้วคนเหล่านั้นเป็นอย่างไร ความเบื่อหน่ายต่อความไม่เอาไหนในการบริหารประเทศกว่า 8 ปีก็เป็นหัวเชื้ออยู่แล้ว เมื่อมีเรื่องมัวหมองการใช้อำนาจในทางมิชอบมาสมทบอีก มันจึงทำให้มองเห็นไฟแห่งความวิบัติโชติช่วงขึ้นมาทันที

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปถึงเงื่อนเวลาที่ กกต.อ้างเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งที่ต้องใช้เวลานานถึง 45 วัน หลังกฎหมายลูกสองฉบับมีผลบังคับใช้นั้น หากคนจะมองว่าเป็นความพยายามที่จะดึงเวลาเพื่อช่วยให้ผู้มีพระคุณเกิดกระแสตีกลับ มีความพร้อมมากที่สุดจึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะผลแห่งการกระทำจากการแบ่งเขตเลือกตั้งคราวเลือกตั้งหนก่อน กับการตัดสินเรื่องวิธีคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จนเกิด ส.ส.ปัดเศษ มันคือการตอกย้ำผลงานที่ไม่เอาไหนของ กกต.คณะนี้ได้เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกัน คนที่เคยเป็นอดีต กกต.อย่าง สมชัย ศรีสุทธิยากร ที่แม้วันนี้จะมีหัวโขนในพรรคการเมืองอย่างเสรีรวมไทย แต่มุมมองในฐานะคนที่ผ่านงานตรงนั้นมาก่อน ย่อมมองเห็นว่าเงื่อนเวลาที่ กกต.บอกมานั้นมันนานเกินควร ความเห็นของสมชัยก็คือ จำแนก 45 วันส่วนที่หนึ่ง  เวลาสำหรับ กกต.จังหวัดเตรียมการแบ่งเขต 5-7 วัน สำหรับฟังความเห็น 10 วัน สำหรับ กกต.ตัดสินใจเรื่องแบ่งเขต 7 วัน  รวม 25 วัน ส่วนที่สอง สำหรับพรรคการเมืองทำไพรมารีโหวต 20 วัน รวมแล้ว 45 วัน ตึง ๆ พอดี

ข้อเท็จจริงก็คือ การแบ่งเขตที่ทำโดยจังหวัดได้เตรียมการมาเป็นปี ทำเสร็จนานแล้ว ประกาศรับฟังความคิดเห็นได้ทันที  ตัดขั้นตอนช่วงที่หนึ่งได้ 7 วัน และขั้นสุดท้ายตัดได้อีก 3 วัน  จึงเหลือเพียง 15 วันน่าจะเพียงพอ ส่วนกระบวนการทำไพรมารีโหวตสำหรับจังหวัดที่มีเขตเลือกตั้งเท่าเดิม พรรคการเมืองสามารถทำได้ทันที เพราะกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองฉบับใหม่มีผลใช้บังคับแล้ว  เหลือเพียงแค่จังหวัดที่มีเขตเลือกตั้งเพิ่ม ต้องรอ กกต.แบ่งเขตก่อน ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึง 20 วัน ลดเหลือ 10 วันก็เพียงพอ

ตามความเห็นของสมชัยทั้งสองส่วนที่ กกต.อ้างว่าต้องใช้เวลา 45 วันนั้น แค่ 25 วันก็เพียงพอ หากขยัน และไม่เกรงใจบางพรรคที่ยังตั้งตัวแทนจังหวัดไม่เสร็จ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ฟัง วิษณุ เครืองาม มือกฎหมายข้างกายผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ แก้ตัวแทน กกต.หลังหารือร่วมกันว่า ไม่ได้ยื้อเพื่อให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งพร้อม กกต.เป็นองค์กรอิสระที่ต้องไปกำหนดทุกอย่างตามหลักการ หากการทำงานตั้งแต่ต้นไม่ทำให้สังคมเกิดข้อกังขา ทุกฝ่ายก็คงพอจะทำใจเชื่อได้ แต่เมื่อเริ่มต้นเลือกครั้งแรกด้วยการกระทำที่เป็นการตอบแทนผู้มีพระคุณจากปลายกระบอกปืนแล้ว สังคมจึงไร้ความเชื่อมั่น

Back to top button