1,600 รออยู่ข้างหน้า?

วันนี้ขอตั้งคำถามเกี่ยวกับการทะยานขึ้นของดัชนี จนขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,563.67 จุด บวกไป 9.02 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.35 หมื่นล้านบาท


วันนี้ขอตั้งคำถามเกี่ยวกับการทะยานขึ้นของดัชนี จนขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,563.67 จุด บวกไป 9.02 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.35 หมื่นล้านบาท มันหมายความว่า นักลงทุนเลิกแพนิกจากแบงก์ล้มแล้วใช่ไหม? และเชื่อมั่นว่า ทุกอย่างจะคืนสภาพปกติในเร็ววันใช่ไหม? และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็หมายความว่า ตลาดหุ้นไทยจะวิ่งกลับยืนเหนือระดับ 1,600 จุดอีกครั้งใช่ไหม? ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เดี๊ยนอยากให้แฟนคลับลองประเมินอีกครั้งเจ้าค่ะ

เนื่องจากโครงสร้างที่เป็นปัญหาของอเมริกายังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างบูรณาการ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้นกว่าเดิม เพราะถ้าดูตามหน้าเสื่อเที่ยวนี้ถือว่า แนวรับ 1,520 จุดยังทำหน้าที่ได้ดี ซึ่งเหมือนกับเหตุการณ์เมื่อกลางปีก่อนที่ดัชนีลงมาแตะปุ๊บ ต่อจากนั้นดัชนีก็เด้งปั๊บ พร้อมกับไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ จนขึ้นไปปิดไฮที่บริเวณ 1,665.74 จุดในเดือน ก.ย. พะย่ะค่ะ

หากทฤษฎีนี้เป็นจริงเหมือนที่กราฟเทคนิคบรรยายไว้ “โมนิก้า” ก็สนับสนุนให้นักเล่นกระโจนใส่กันตามอัธยาศัย เพราะในมุมของการเล่นรอบของปีก่อน ๆ มันออกมาในรูปนี้กันทั้งนั้น! แต่ถ้ามองในมุมของเรื่องราวที่เกิดขึ้นแบบเต็มสตรีมจะเห็นว่า ยังมีเรื่อง “ดอกเบี้ย” ตามหลอกหลอนไม่เลิก และยังมีเรื่องของการ “ชอร์ตหุ้น” ตามรังควาน หรือแม้กระทั่งเรื่อง “ฝรั่งทิ้ง” คอยกดดันเป็นระยะ จึงกลายเป็นเกมหุ้นที่ต้องเกาะติดอย่างใกล้ชิดนะคะ

เหมือนกับการลงต่อเนื่องของหุ้นกระดาษลังอย่าง SCGP ถือเป็นแรงบีบคั้นที่ทำให้ “โมนิก้า” รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก เพราะการลงมายืนปิดที่ระดับ 46 บาท ลบไป 1.75 บาท หรือลงไป 3.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.38 พันล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 2 ปี เหมือนเป็นการย้ำหัวหมุดสิ่งที่แมงลือเม้าท์กันให้แซ่ดว่า กำไรมีปัญหา! และทางออกเดียวที่ทำให้นักเล่นสบายใจคือ ขายทิ้งนะจะบอกให้

ส่วนการร่วงลงของหุ้น HANA ก็หนีไม่พ้นความกังวลเกี่ยวกับยอดขายไม่ปัง ซึ่งเป็นรูปแบบที่คล้ายกับรายข้างต้น ผนวกกับนักเล่นกลุ่มสถาบันไม่อินกับหุ้นอิเล็กทรอนิกส์เหมือนเมื่อก่อน จึงถูกรินขายหุ้นออกมาเรื่อย ๆ จนล่าสุดยืนปิดที่ระดับ 48 บาท ลบไป 2.25 บาท หรือลงไป 4.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.10 พันล้านบาท มันชวนให้สงสัยว่า ราคาหุ้นจะไหลลงไปหาฐานเก่าที่ระดับ 35 บาทอีกกระมัง!

ในเมื่อบรรยากาศไม่เอื้อสำหรับการเล่นแบบสุดซอย และหุ้นหลายตัวอยู่ในกลุ่มที่ต้องถูกลดพอร์ต “โมนิก้า” ถึงไม่แปลกใจที่เห็นหุ้น NEX ไหลลงมาปิดที่ระดับ 12.80 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 3.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 118 ล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 1 ปี 3 เดือนครึ่ง มันเป็นภาพที่ชี้ให้เห็นว่า ต่อให้ตัวเลขกำไรจะมาตามนัดแค่ไหน? แต่วินาทีนี้ไม่มีใครสนใจอะไรทั้งนั้น เพราะขอเอาตัวรอดก่อนนะนายจ๋า!

ส่วนรายที่พยายามดันทรงกันสุดฤทธิ์ แต่ก็ถูกขายทุกครั้งที่ผงกหัวขึ้น “โมนิก้า” เลยไม่มั่นใจกับสถานการณ์ของหุ้น KLINIQ จะออกมาเป็นแบบไหน? เพราะอาการวนไปวนมาที่บริเวณ 39 บาทมันเกิดขึ้นร่วมสัปดาห์กว่า ๆ จึงอยากให้แฟนคลับประเมินการยืนปิดที่ 40.25 บาท ลบไป 1.75 บาท หรือลงไป 4.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 230 ล้านบาท มันพร้อมที่จะขึ้นหรือลงมากกว่ากันเจ้าค่ะ

ประเด็นข้างต้นที่ทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้น JMT เพื่อชี้ให้เห็นการเด้งขึ้นมาปิดที่ระดับ 46.50 บาท บวกไป 2.75 บาท หรือขึ้นไป 6.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 944 ล้านบาท คือภาพการฟื้นตัวอย่างจริงจังเป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือนครึ่ง จึงอาจเป็นจังหวะที่เหมาะต่อการไหลตามน้ำหรือเปล่า? เพราะเที่ยวก่อนก็เคยวิ่งขึ้นไปแถว 50 บาท จึงทำให้เชื่อว่า เที่ยวนี้จะอาจเกิดขึ้นอีกอะป่าว?..ลองไปคิดกันดูนะจ๊ะ

ตบท้ายกันที่ SVT เพื่อชี้ให้เห็นว่า “เฮียณุ” เริ่มแสดงความไม่พอใจที่ฝั่งของ SABUY ภายใต้การนำทัพของ “เฮียชู” หันมาเล่นเกมตีท้ายครัว ทั้งที่ควรจะมาพูดคุยกันในลักษณะ “พาร์ตเนอร์” จึงกลายเป็นประเด็นที่ขาเผือกเม้าท์กันอย่างสนุกสนาน เพราะเกมต่อจากนี้อาจส่อไปในทางปรปักษ์เสียมากกว่า และคงต้องรอฟังจากปากเฮียชู..จะว่าจังใด? หลังหุ้นขึ้นมาปิดที่ 3.74 บาท บวกไป 0.26 บาท หรือขึ้นไป 7.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 210 ล้านบาท มาจากความเชื่อที่ว่า จับมือกันได้น่ะซี!

Back to top button