ทักกี้ที่เปลี่ยนไป

การเลือกตั้ง 14 พ.ค.ที่จะถึงนี้ เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือคนที่ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ดูไบชื่อทักษิณ ชินวัตร ในนามทักกี้


การเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือคนที่ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ดูไบ ชื่อทักษิณ ชินวัตร ในนามทักกี้ กำลังทำตัวประหลาดไม่เหมือนเดิม คือการที่เคยเอาคนในตระกูลชินวัตรมาเป็นผู้นำพรรค แต่ด้วยอุ๊งอิ๊ง ชินวัตร ยังมีบารมีน้อย ทั้งยังเคยมีข่าวฉาวเรื่องทุจริตในการสอบเอ็นทรานซ์

แคนดิเดตหมายเลขหนึ่งของพรรคเพื่อไทยจึงกลายเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน (เพื่อนรักของคุณโต้งนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการพรรคเพื่อไทยเดิม) และเป็นอดีตผู้บริหารแสนสิริ จำกัด มหาชน บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังของไทยที่ทำ คอนโดมิเนียมขายดิบขายดีเพราะมีดีไซน์สวยแต่มีกำไรต่ำเนื่องจากไม่มีแลนด์แบงก์เอง

นายเศรษฐาเริ่มมีบทบาทในพรรคเพื่อไทยในฐานะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทยก่อนที่จะถูกประกาศตัวเป็นแคนดิเดต 1 ใน 3 คนของพรรค และในวันที่ประกาศตัวนั้นนายเศรษฐาได้ประกาศนโยบายประหลาดคือจะจ่ายเงินผ่านกระเป๋าดิจิทัลให้คนไทยทุกคนที่มีอายุเกิน 16 ปีคนละ 10,000 บาท กำหนดให้ใช้จ่ายภายในเวลาไม่เกิน 6 เดือนในรัศมีไม่เกิน 4 กม.ตามที่อยู่ในบัตรประชาชนหลังจากวันที่ 1 มกราคม 2567 โดยไม่เลือกว่าจะยากดีมีจนจะเป็นคนรากหญ้าหรือไม่ ให้ทุกคนไม่ว่ามิตรหรือศัตรู โดยตั้งเป้าหมายว่าคนที่จะได้รับเงินนี้มีประมาณ 50 ล้านคน คิดเป็นจำนวนเงิน 5 แสนล้านบาท โดยทุกคนที่เกี่ยวข้องจะไม่ได้ถือเงินสดเลยเป็นการโอนเงินในรูปเงินดิจิทัลทั้งนี้ต้องทำผ่านสมาร์ตโฟน

นโยบายดังกล่าวนับเป็น “ระเบิดเวลาทางการเมือง” ที่สุดยอดไปเลยเพราะไม่ต่างอะไรกับ “แสตมป์อาหาร (food stamp)” ของโครงการ นิวดีล ที่แฟรงคลิน ดี รุสเวลท์ เคยนำเอามาใช้ก่อนสงครามโลกครั้ง 2 จะเริ่มขึ้น แล้วได้ผลดีมาก

ทางการเมืองเชิงรุกของพรรคเพื่อไทยนอกจากตัดปัญหาเรื่องคอรัปชั่นแล้วยังตัดปัญหาเรื่องการเลือกปฏิบัติและทำให้ค่ายมือถือกับแบงก์ที่เข้าร่วมโครงการได้รับผลประโยชน์เต็ม ๆ โดยไม่ต้องทุ่มเงินของพรรคสักบาทเดียว หลังจากนั้น 1 วันคำประกาศที่ไม่มีที่มาว่าจะนำเงินส่วนนี้มาจากไหนได้ถูกทีมงานเดิมของทักษิณนำโดยหมอมิ้ง พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดชและนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ออกมาอธิบายด้วยภาษาทางการเงินชั้นสูงที่คนไทยรวมทั้งผู้สื่อข่าวฟังแล้วไม่เข้าใจ ตรงนี้ทำให้เข้าใจได้ว่าทักษิณ ชินวัตรซึ่งเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยในวันนี้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก จากที่เคยสอนให้คนไทยต้องฝึกจับกินปลาเองโดยมีรัฐบาลเป็นผู้ช่วยเหลือแทนที่จะรอให้รัฐบาลป้อนให้อันเป็นนโยบายหลักของพรรคไทยรักไทยที่คนเสื้อแดงชื่นชมนักหนา ที่กลายมาเป็นรูปธรรมโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์อันลือลั่น

การเปลี่ยนนโยบายแบบ “พลิกฝ่ามือเป็นหลังเท้า” โดยไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม  โดยไม่สนใจว่าคนรับเงินจะเป็นใครจะเลือกพรรคหรือไม่ ทำให้พรรคคู่แข่งอื่น ๆ ที่พยายามเสนอเงินก้อนเล็กแบบพรรคภูมิใจไทยที่เสนอเพิ่มเงินให้อสม.จาก 1,000 บาทเป็น 2,000 บาท หรือพรรคประชาธิปัตย์ที่นำเสนอว่าเป็นพรรคเก่าแก่ไม่โกงไม่กินแต่ไม่ให้ความหวังใด ๆ กับประชาชน หรือพรรครวมไทยสร้างชาติที่ไม่มีนโยบายใหม่ ๆ มีแต่ขอให้ลุงตู่กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัยหนึ่ง หรือพรรคพลังประชารัฐที่ลุงป้อมบอกจะไม่ขอขึ้นเวทีดีเบตกับใครทั้งนั้นเพราะได้ศึกษามาดีแล้วว่าประชาธิปไตยและทุนนิยมเท่านั้นที่เหมาะสมกับประเทศไทยหมดเสน่ห์ไปในทันที

ดูตามนี้แล้ว คนที่ไม่อยากได้พรรคเพื่อไทยและทักษิณกลับมาเพื่อติดคุกจอมปลอม ก็คงต้องทำใจกับตัวไม่ตรงกัน ปากก็ด่าทักษิณขี้โกง ไม่รักสถาบันแต่มือกลับหย่อนบัตรให้พรรคเพื่อไทยเพราะกลัวอดเงิน 10,000 บาท

ที่พูดมานี้ไม่ใช่เพราะผมชอบทักษิณหรืออยากได้เพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลหรอกนะครับ แต่เพราะคนไทยลืมง่าย ชอบกำขี้ดีกว่ากำตด ส่วนเรื่องกลัวทหารกลับมายึดอำนาจอีกครั้งนั้นคนไทยคงไม่กลัวเพราะความจำทางประวัติศาสตร์สั้นเหมือนหางหมู นโยบายทรงพลังของทักษิณที่จะทำให้เพื่อไทยได้ชัยชนะแบบแลนด์สไลด์นอกจากนโยบายนี้แล้วยังรับพวกหาเสียงเก่งมีฐานมวลชนเยอะอย่างเช่น สมศักดิ์ เทพสุทิน, ปรีชา เลาหะพงศ์ชนะ, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และสุชาติ ตันเจริญ (พ่อของมดดำ) กลับมาเข้าพรรคอีกครั้ง เพราะการเอากติกาการเลือกตั้งของรธน.ปี 40 กลับมาใช้ใหม่เป็นประโยชน์ต่อพรรคใหญ่อย่างมาก

การกลับมาของทักษิณครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม คนที่จะคลั่งใจตายคือบรรดาผู้นำการต่อต้านทักษิณเพราะการกลับมาครั้งนี้เป็นยิ่งกว่าทักษิโณมิกส์ที่พวกเขาเคยกล่าวหาเมื่อ 17 ปีก่อน

Back to top button