‘ต่างชาติ’ ขนเงินจ่อซื้อหุ้นไทยหลัง ‘เลือกตั้ง’ ?

สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในต้นสัปดาห์ที่สอง ตั้งแต่ 8 พ.ค. ดูเหมือนดัชนีจะคลี่คลาย และดีดจากโลว์เก่าที่เคยทำไว้เมื่อ 3 พ.ค. ที่ระดับ 1,507 จุด


สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในต้นสัปดาห์ที่สอง ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.เป็นต้นมา ดูเหมือนดัชนีจะคลี่คลาย และดีดจากโลว์เก่าที่เคยทำไว้เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่ระดับ 1,507 จุด จนมาสิ้นเย็นวันที่ 11 พ.ค. ดัชนีได้กลับมายืนที่ระดับ 1,571 จุด ดัชนีรีบาวด์กลับมา 63 จุด เพิ่มขึ้น +4.2% ใช้เวลาเพียงแค่ 4 วันทำการ

ในระยะเวลาแค่ 4 วันทำการ กับดัชนีที่บวกขึ้นมาจากโลว์ +4.2% ทั้งหลายทั้งปวงนี้ เป็นฝีมือของ กองทุนในประเทศ โดยมียอดซื้อสุทธิ แต่เพียงผู้เดียว รวม 15,743 ล้านบาท

ทรงหุ้นที่ว่ากำลังจะดี จนเช้าวันถัดมา (12 พ.ค.) ตลาดหุ้นไทยกลับร่วงดิ่งอย่างรุนแรง โดยไม่ทราบสาเหตุ มีเพียงแต่ภาพข่าวของ “กองทัพบก” ที่แจ้งเคลื่อนย้ายกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ เพื่อไปฝึกร่วมประจำปี

ประกอบกับ ข่าวจากทางกกต.บอกไม่รีบวินิจฉัยคุณสมบัติของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และออกข่าวในทำนองว่า ถ้ามีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครเลือกตั้ง จะดำเนินคดีอาญา ม.151 ฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติ แต่ก็ยังลงสมัคร ซึ่งจะดำเนินการหลังประกาศผลเลือกตั้งเสร็จ

ลำพังแค่ 2 ข่าวดังกล่าว ทำไมจึงมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากขนาดนี้ เหตุผลง่าย ๆ เลย ตอนนี้มีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติ เข้ามารออยู่ในตลาดพันธบัตรอยู่แล้ว

โดยล่าสุดย้อนหลัง 4 วันทำการ (9-12 พ.ค.) มียอดซื้อสุทธิในตลาดบอนด์ ประมาณ 56,800 ล้านบาท ถือเป็นการนำเงินเข้ามารอ เพื่อที่จะสวิตช์เข้ามาในตลาดหุ้น

แต่เนื่องจาก มีข่าวที่อาจจะกระทบกระเทือนต่อการตัดสินใจของต่างชาติ 2 ข่าวที่ว่า จึงทำให้พอร์ตที่ถือหุ้นอยู่ต้องเทขายออกมา

ทั้งนี้เงินที่ต่างชาติเอามารอซื้อหุ้นที่อยู่ในตลาดบอนด์ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเอาเงินมารอ แล้วจะต้องซื้อหุ้นเสมอไป

เพราะหลายครั้งที่พอมีเงินเข้ามารอ แต่สุดท้ายก็ขายออก และไม่ได้เอาเข้าตลาดหุ้น จึงไม่แปลกใจแม้ช่วงนี้ต่างชาติจะขายหุ้นไทยสุทธิ แต่ค่าเงินบาทกลับแข็งค่า ก็เพราะมีสาเหตุมาจากเงินไหลเข้าตลาดบอนด์นั่นเอง

คงจะมีคำถามต่อมาว่า ทำไมต่างชาติ จึงต้องสนใจความเคลื่อนไหวในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย ในทุกประเทศการเลือกตั้ง ถ้าหากจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำใหม่ จากเดิมที่ไม่ได้ทำให้ประเทศดีขึ้น ย่อมต้องเป็นที่จับตาของนักลงทุนต่างชาติ ว่าจะมีทิศทางไปในเชิงประชาธิปไตย มากน้อยแค่ไหน

ถ้าของเดิมไม่ดี การได้มาซึ่งของใหม่ย่อมดีกว่า แม้จะต้องใช้เวลาพิสูจน์ก็ตาม แต่มันจะมีช่วง ฮันนีมูน พีเรียด ซึ่งตอนนี้ผ่านไปแล้ว ก่อนเลือกตั้งไม่มี แต่หลังนับคะแนนเสร็จ ตรงนี้แหละจะเป็นจุดตัดสินว่า เม็ดเงินต่างชาติจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยหรือไม่!?

ตอนนี้ต่างชาติ มองอยู่ 2 ประเด็นใหญ่ที่จะตัดสินใจเอาเงินเข้าตลาดหุ้น คือ หนึ่งพรรคการเมืองที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ คือ อดีตพรรคฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็น พรรคเพื่อไทย หรือพรรคก้าวไกล ได้ทั้งนั้น

ส่วน 2 พรรคนี้ จะจับมือกันเอง หรือจับมือกับใคร อันนี้ฝรั่งถือว่า “แฮปปี้” ซึ่งถ้ากรณีที่ พรรคเพื่อไทย แลนด์สไลด์ ก็จะจับกับพรรคเล็ก ๆ อย่างเสรีรวมไทย, เพื่อชาติ, ประชาชาติ, ชาติไทย ฯลฯ

กรณีที่ พรรคเพื่อไทย ไม่แลนด์สไลด์ ก็มีโอกาสจะจับ กับ พรรคพลังประชารัฐ เพราะมี ส.ว.ในมือ

ส่วนพรรคภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์-รวมไทยสร้างชาติ จะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านทันที

แต่ถ้ามีการเล่นตุกติก เจอบัตรเขย่ง หรือบัตรผี ที่บางเขต จะมีจำนวนบัตรเลือกตั้งที่มากกว่า จำนวนประชาชนในพื้นที่โผล่มา จนทำให้บางพรรคชนะได้ แบบนี้ฝรั่งก็ไม่เอาแน่นอน

อย่าลืมว่า ที่ผ่านมาทูตหลายประเทศ ต่างให้ความสนใจ และมีเรียกพรรคที่ลงเลือกตั้งเข้าไปพูดคุยถึงวิสัยทัศน์อยู่หลายพรรคเหมือนกัน

อีกเหตุผลหนึ่ง ถ้าหากมีการยุบพรรคใดพรรคหนึ่งแบบค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ เม็ดเงินที่อยู่ในบอนด์ จะไม่เข้ามาในตลาดหุ้น คงจะหนีกลับบ้าน และเมื่อนั้น แรงขายของนักลงทุนต่างชาติ จะกลับมาขายสุทธิอย่างหนักในระดับ 3-4 พันล้านบาทต่อวันเหมือนที่เคยเป็นมา และกองทุนในประเทศ จะรับบทนางแบก ของตลาดหุ้นไทยต่อไปจนกว่า จะแบกไม่ไหว

Back to top button