ถอดบทเรียนหุ้น STARK ถึงรายย่อย

STARK ถือเป็นโศกนาฏกรรมทางด้านการลงทุน ที่ไม่ได้สร้างความเสียหายเฉพาะ “คนเล่นหุ้น” เท่านั้น แต่ยังขยายผลไปยังคนที่ต้องการลงทุนแบบเสี่ยงน้อย


กรณีหุ้น STARK หรือ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ถือเป็นโศกนาฏกรรมทางด้านการลงทุนของตลาดทุน ที่ไม่ได้สร้างความเสียหายเฉพาะ “คนเล่นหุ้น” เท่านั้น แต่ยังขยายผลไปยัง คนที่ต้องการลงทุนแบบเสี่ยงน้อย และหวังดอกเบี้ย จาก “หุ้นกู้”

นี่ยังไม่นับ สถาบันการเงินรายใหญ่ 2 ราย ที่ปล่อยสินเชื่อไปอีก 8.6 พันล้านบาท และมีภาระผูกพันที่ยังเอาหุ้นกู้ ไปเสนอลูกค้าชั้นดีของตนเองอีก 

เท่านั้นยังไม่พอ ความเสียหายที่เกิดขึ้นของบริษัท STARK ยังลามไปถึงคนที่เข้าไปซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน ที่หวังออมเงินอีกเป็นจำนวนมาก 

การปล้นกลางแดดของโจรใส่สูทที่อาจเกิดจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของ STARK ที่ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าไปหลบอยู่มุมไหนของโลกใบนี้ 

แต่สิ่งที่เห็นแน่ชัดเลย คือ ความเสียหายที่ทิ้งเอาไว้ให้กับ นักลงทุนที่เป็นคนชนชั้นกลางที่มีความรู้การศึกษา และมีอันจะกิน ที่มีมูลค่าความเสียหายมากเกิน 7 หมื่นล้านบาท ที่ได้เข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ STARK ไม่ว่าจะลงทุนประเภทเสี่ยงมาก (หุ้น) หรือ เสี่ยงต่ำ (หุ้นกู้-กองทุน) ก็ตาม

ข้อบ่งชี้ ที่ทำให้ STARK เป็นบริษัทที่ทำความเสียหายให้เกิดกับวงการตลาดทุน โดยเฉพาะเหตุผลที่ว่า ทำไมถึงมีนักลงทุนรายใหญ่ บริษัทจดทะเบียน หรือ กองทุนขนาดใหญ่ ระดับประเทศ และบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้าไปติดกับ และเสียหายกับหุ้นตัวนี้กันเยอะ!?

อันดับแรกเลย นักลงทุนเหล่านี้ “เชื่อใจ” และ “เชื่อมั่น” สตอรี่ที่ถูกนำมาขาย และว่ากันว่าโจรใส่สูทในเรื่องนี้ เป็นอดีตมือขวาของทนาย ว. ผู้โด่งดังที่ชอบซื้อซากของบริษัทจดทะเบียนที่มีปัญหา เอามาปรับโครงสร้างหนี้ แต่เพื่อหวังกินส่วนต่างจาก ราคาหุ้นในกระดาน เท่านั้น ส่วนบริษัทที่อยู่รอดทุกวันนี้ เพราะมีเจ้าของใหม่เข้ามาสานต่อ หรือคนที่ถูกเป็นเหยื่อต้องมารับผิดชอบ เพราะตกกระไดพลอยโจน

เริ่มแรก จากวิธีการ ใส่เงินเพิ่มทุนในจำนวนที่ไม่มาก เพื่อหวังครองสัดส่วนการถือหุ้นเกิน 80-90% ก่อนที่จะมีการเพิ่มทุนราคาสูงขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไป และได้จำนวนหุ้นที่น้อยกว่า ถือเป็นวิชาขั้นพื้นฐานที่ “โจรใส่สูทใจเย็น” ท่านนี้มักทำเป็นนิจศีล

ความสำเร็จที่ทำให้หุ้นตัวนี้ได้รับความนิยม คือ การเอาเซเลบฯ ของ วงการหุ้น หรือ กองทุนระดับประเทศมาประทับตราว่าราคาหุ้นจะมีกำไร เพราะมีรายชื่อบุคคลเข้ามาถือหุ้นทำให้เกิดความเชื่อมั่น

ขออธิบายเพิ่ม นักลงทุนรายบุคคล หรือ แม้แต่กองทุน ที่ลงทุนในหุ้น ส่วนใหญ่จะรู้จักกัน เพราะถ้าหากสามารถโน้มน้าวหรือสร้างสตอรี่ให้กับ รายใหญ่ที่มีชื่อเสียง หรือกองทุนระดับท็อปทรี ให้เข้ามาลงทุน เขาจะเอาชื่อของบุคคลหรือ กองเหล่านี้ไปขยายความต่อ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เหยื่อคนอื่น ๆ

ในเมื่อนักลงทุนรายใหญ่ที่มีชื่อเสียงหรือกองทุนระดับประเทศ ยังจองซื้อหุ้นเลย คงไม่ต้องถามเลยว่า ระดับกลางและย่อยลงมาจะตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อ 

เพราะมันเป็นเรื่องง่ายที่จะมีการเช็กว่า ใครซื้อ ถามว่าดีไหม ทุกคนที่จองต้องบอกว่าดี และเอาสตอรี่ที่ได้รับจากโจรใส่สูทคนนั้นมาขยายความต่อ และสร้างจินตนาการตามแต่ใครจะมีสิทธิได้จองหุ้นจำนวนมากหรือน้อย

ในจุดนี้ จะสามารถขยายความได้อีกถึงความเทาและดำของวิชา ที่ถูกนำมาใช้ในการโน้มน้าว หรือแรงจูงใจ ให้ใครต่อใครเข้ามาลงทุนนั้นก็คือ “การทอน” 

ไม่ว่าจะทอนเป็น เงินสด หรือ รถซูเปอร์คาร์-คอนโดฯ ฯลฯ ได้หมดทุกรูปแบบ ตามแต่ที่จะสามารถตีออกมาเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้แบบไม่น่าเกลียด และผู้สอบบัญชีไม่สงสัย

“การทอน” ตรงนี้ ทำให้ราคาหุ้น ช่วงหลังเพิ่มทุนแบบพีพี (3.72 บาท) ออกแล้วมีแรงเทขายออกมาอย่างหนัก เพราะมันมาจากผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าว 

ช่วงนั้นนักลงทุนรายใหญ่ที่จองซื้อหุ้นไป แต่ไม่ได้รับการทอน ก็งงเป็นไก่ตาแตกว่า ทำไมมีคนยอมขายขาดทุน ทั้งที่เพิ่งจองมาไม่นาน 

นี่คือ ความนัยของ “ปริศนาธรรม” ที่ยอมขายขาดทุนทันที และยิ่งถ้าเอาเงินชาวบ้านมาซื้อหุ้นด้วย ยิ่งตัดสินใจง่ายมาก โดยจะอ้างความเป็นมืออาชีพ “ขายเพราะเห็นทรงไม่ดี” ฯลฯ ทางที่ดีไม่ควรจองตั้งแต่แรกหรือเปล่าว้า?

“แต่นั่นแหละ คิดว่าไม่มีใครจับได้”!!

นี่ยังไม่พูดถึง รายย่อย ที่เป็นเหยื่อ จากการโฆษณาของบริษัท ที่เอาชื่อนามสกุล หรือ กองทุน หลงเชื่อเข้ามามะรุมมะตุ้มรับหุ้นในกระดาน ที่คนที่ได้รับการทอน โดยมองว่า ราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่าราคาจองพีพี หรือจะให้บอกแบบมีความรู้หน่อย คือ ราคาปัจจุบันขี่กองทุน ก็สามารถพูดได้เต็มปาก

เหตุที่มี นักลงทุนรายย่อยเสียหายจากหุ้นตัวนี้เป็นจำนวนมาก เพราะความโลภ และความเชื่อว่า รายใหญ่ หรือกองทุนนี้เข้าไปถือจะสร้างผลตอบแทนให้กับตนเองเหมือนกัน แต่กลายเป็น ทุกอย่างพลิกกลับตาลปัตร

หุ้น STARK ที่เคยมีมาร์เก็ตแคป สูงเกิน 5 หมื่นล้านบาท มาวันนี้เหลือต่ำกว่า 1,800 ล้านบาท

จากกรณีศึกษาตรงนี้ นักลงทุนรายย่อยควรจะต้องมีภูมิคุ้มกันที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งคนที่เสียหาย และไม่ได้รับความเสียหายจากหุ้น STARK ในครั้งนี้

บทเรียนครั้งนี้ สามารถนำไปใช้ถอดบทเรียนที่จะใช้ประโยชน์ได้ในครั้งต่อไป คือ การลงทุนที่จะต้องตัดสินใจ โดยไม่เชื่อตามคนอื่น เพราะ “สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง”

ส่วนจะพัง เพราะตั้งใจ หรือ สะดุด “การทอน” หรือเปล่านั้นคงต้องติดตามกันต่อไป

Back to top button