แนวรับ 1,200 จุดพลวัต 2015

มีคำถามในยามข่าวร้ายท่วมตลาดว่า โอกาสที่ดัชนีSET จะลงไปต่ำถึง1,200 จุด ภายในสิ้นปีนี้เป็นไปได้หรือไม่


มีคำถามในยามข่าวร้ายท่วมตลาดว่า โอกาสที่ดัชนีSET จะลงไปต่ำถึง1,200 จุด ภายในสิ้นปีนี้เป็นไปได้หรือไม่

คำตอบแตกต่างกันไปแน่นอน เพราะเป็นมุมมองเชิงลบสุดๆ แต่ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้

คิดกันง่ายๆ ว่า เพียงแค่สัปดาห์นี้สัปดาห์เดียว ก็มีข่าวร้ายรออยู่มากมาย

เริ่มตั้งแต่การประมูลคลื่นมือถือ 4G ย่านความถี่ 900MHz วันอังคารนี้ คาดว่าผู้เข้าประมูลสู้กันแหลกแน่ นักวิเคราะห์บอกว่าใครได้ใบอนุญาตเป็น ทุกขลาภ หุ้นต้องร่วงหนัก พาหุ้นในกลุ่มแย่ไปด้วย ยกแผงแน่นอน

ถัดมาวันพุธ เฟดจะประชุมวันสุดท้ายขึ้นดอกเบี้ยแน่นอน (เขาว่างั้น) ซึ่งถ้าจริง ไม่ต้องพูดถึงว่าค่าเงินบาทจะแค่ไหนเพราะต่างชาติขายแหลกในตลาดไทยต่ออีกยาวนาน

ตามมาด้วยข่าวร้าย เศรษฐกิจจีน ราคาน้ำมัน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ล้วนขยันแข่งกันผลิตข่าวร้ายให้ดัชนีทำนิวโลว์ต่อเนื่อง

ล่าสุด อสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงและออสเตรเลียกำลังจะฟองสบู่แตก เพราะกำลังซื้อจากจีนหดหาย หลังทางการจีนปราบขบวนการโพยก๊วนพาเงินออกนอกประเทศอย่างจริงจัง

ส่วนในเมืองไทยข่าวดียังไม่ปรากฏเพราะตราบใดที่รัฐบาล และ คสช. ยังคงใช้นโยบาย เหนือการเมือง หรือนัยหนึ่งคือ การทหารนำการเมือง ซึ่งพิสูจน์มานับครั้งไม่ถ้วนว่าปลายางคือล้มเหลวเพราะทำให้เรื่องเล็กเป็นใหญ่ไปเสียหมด ไม่เป็นอันทำการทำงานสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้ ยากจะทำให้มีข่าวดีทางเศรษฐกิจกระตุ้นตลาดทุน ทำให้ไม่สามารถพลิกขาลงของตลาด กลับเป็นขาขึ้นได้

ข่าวการปรับลดน้ำหนักของหุ้นบลูชิพจำนวนมากที่ทยอยออกมาจากสถาบันการลงทุนต่างชาติ หรือโบรกเกอร์ต่างชาติที่มีสาขาในไทย ยังเป็นแรงเสริมทางลบที่ดีเยี่ยม ทำให้แรงกดดันต่อดัชนียิ่งเพิ่มน้ำหนักสูงขึ้น

สำหรับคนที่เชื่อว่า แรงซื้อของกองทุน LTF จะประคองตลาดหุ้นไทยเหนือ1,300 จุดไว้ได้ ป่านนี้ก็คงจะเลิกหวังไปแล้ว เพราะกองทุนดังกล่าว ไม่ใช่กองทุนพยุงหุ้น มีภารกิจทำกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นเพื่อทำให้ NAV ของแต่ละกองทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงไม่ใช่ความหวังในการจะทำให้ดัชนีอยู่ที่เหนือเป้าหมายใดๆ ได้

ข้อเท็จจริงในภาพรวมของตลาดหุ้นไทยคือ ดัชนีตลาดจนถึงล่าสุดปรับตัวลงจากจุดสูงสุดของปีที่ระดับ1,620 จุด เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ มาประมาณ 330 จุด หรือประมาณ 20%  โดยช่วงที่ลงหนักสุดมี3 ช่วงคือ

ช่วงที่1 จาก1,620 จุด มาอยู่ที่1,500 จุดช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์เมษายน จากนั้นรีบาวด์กลับ

ช่วงที่ 2 จาก 1,500 จุด มาสู่ 1,300 จุด ระหว่างเดือนกรกฎาคมต้นเดือนกันยายน แล้วรีบาวด์กลับ

ช่วงที่ 3 จาก 1,400 จุด มาที่ระดับ 1,280 จุด ระหว่างกลางเดือนพฤศจิกายนปัจจุบัน

ช่วงสุดท้ายที่แรงขายหนักมาจากหลายส่วนหมุนเวียน ทำให้ดัชนีร่วงเกือบ120 จุด โดยไม่มีสัญญาณเลยว่าจะเกิดแนวรับที่แข็งแกร่งให้เห็นเลย แสดงว่าสัญญาณเทคนิคไม่สามารถอธิบายว่าก้นเหวของขาลงรอบล่าสุดนี้อยู่ที่ไหนกันแน่

ยิ่งอธิบายได้น้อยเท่าใด ผสมกับคำชี้แนะทางเดียวกันของนักวิเคราะห์ที่มองตลาดแนวลบตลอด ทำให้แรงขายสลับกันไปมาจากทุกกลุ่มยิ่งเพิ่มมากขึ้น เป็นเรื่องปกติ เพราะในการลงทุนนั้น ตราบใดที่ไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ แรงซื้อย่อมยากที่จะเกิด ราคาหุ้นชั้นดีอย่าง AOT ก็ไม่เพียงพอที่จะช่วยทำให้ตลาดในภาพรวมพลิกสถานการณ์เป็นขาขึ้นได้ แถมอาจจะตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ไปด้วย หากแรงขายอย่างตื่นตระหนกตามมา

ปรากฏการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกของตลาดหุ้นไทย เพียงแต่ครั้งนี้ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจโลกที่การเคลื่อนย้ายทรัพยากรจากธุรกิจจารีต มาสู่ธุรกิจดิจิตอลกำลังรุนแรง และรากฐานของเศรษฐกิจไทยที่เคยพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักไม่ทำงานดีเหมือนเดิม ต้องเปลี่ยนมาพึ่งการบริโภคจากภายในแต่ไม่มีการสร้างกระบวนการรอรับได้เพียงพอ

การเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างทางธุรกิจไทยที่รุนแรง ถูกชนชั้นนำในอำนาจรัฐไทยและกลุ่มทุนตีความผิดเพี้ยนเป็นกระบวนการทางการเมืองของสงครามเสื้อสี และกระจุกอำนาจครั้งใหม่ โดยไม่สามารถตอบโจทย์สำหรับสร้างโครงสร้างใหม่ให้ธุรกิจไทยได้ ผลลัพธ์คือการจมปลักกับปัญหาที่ซับซ้อนยิ่งกว่าลิงแก้แห และส่งผลต่อค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยที่ไร้เสน่ห์สำหรับกองทุนและต่างชาติ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นที่โดดเด่นกว่า

หากย้อนดูเส้นกราฟของดัชนีตลาด แนวรับสำคัญของตลาดรอบนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ1,224 จุด อันเป็นจุดต่ำสุดต้นปี 2557 อันเป็นช่วงวุ่นวายทางการเมือง ก่อนการรัฐประหารในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน หากหลุดแนวรับดังกล่าวไป ถือว่าต้องลงไปต่ำกว่านั้น ซึ่งหมายถึงหายนะของพอร์ตลงทุนครั้งใหญ่

ความอ่อนแอจากผลประกอบการของหุ้นบลูชิพจำนวนมากของบริษัทจดทะเบียน ทำให้ราคาหุ้นเหล่านั้นมีราคาแพงเกิน และแรงกดดันจากภายนอกที่เป็นเชิงลบ ทำให้มองเห็นอนาคตอย่างขุ่นมัวได้ง่าย ในยามนี้

ตลาดหุ้นจีนเป็นต้นแบบที่ดี หลังจากผ่านภาวะฟองสบู่แตกที่ทำให้ทางการจีนเข้ามาแทรกแซงด้วยต้นทุนมหาศาล ตลาดหุ้นจีนเริ่มมีโมเมนตัมเชิงบวกชัดเจน เพราะมีความเข้าใจชัดเจนว่า การเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจจารีตไปสู่ธุรกิจใหม่ที่มีอนาคตยาวไกล กำลังเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

การร่วงลงของตลาดหุ้นจีนเซี่ยงไฮ้ เหนือ3,000 จุด แต่ไม่ยอมหลุดแนวรับจิตวิทยาสำคัญมากที่ผ่านมาแล้ว จึงมีขีดจำกัดของการร่วงลง ไม่เหมือนตลาดหุ้นไทย ที่ยากจะบอกได้ในยามนี้ว่า แนวรับและจุดพลิกผันของดัชนีตลาดจะอยู่ที่ตรงจุดไหน

มุมมองแนวลบสุดขั้วว่าดัชนีจะร่วงไปที่ระดับ1,200 จุด อาจจะเร็วเกินไป แต่ถ้าความไม่ประมาท จะมองไว้บ้าง ว่านักลงทุนจะทำอย่างไรหากตลาดลงแรงเช่นว่า

ตำราเล่นหุ้นยามขาลง อาจจะเป็นคู่มือข้างหมอนของนักลงทุนไทยในการค้นหาหุ้นหลบภัยยามนี้มากกว่าปกติ

ในขณะที่หลักการบางอย่างของชาวสวน ที่เริ่มใช้การไม่ได้ผลเช่น  ต้องกล้าในยามที่คนอื่นกลัว หรือ ให้ซื้อเมื่อเลือดนองถนน คงจะต้องอยู่ห่างๆ ตัวชั่วคราว

Back to top button