พาราสาวะถี

เป็นข่าวใหญ่โตรับวันทำงานวันแรก เมื่อกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและคอมมานโด พร้อมหมายค้นเข้าทำการตรวจค้นบ้านพักของ “บิ๊กโจ๊ก”


เป็นข่าวใหญ่โตรับวันทำงานวันแรก เมื่อกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือบก.สอท. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและคอมมานโด พร้อมหมายค้นเข้าทำการตรวจค้นบ้านพักของ “บิ๊กโจ๊ก” พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล โดยเบื้องต้นเจ้าตัวปฏิเสธที่จะให้มีการเข้าค้นด้วยการบอกว่าเป็นถึงรอง ผบ.ตร. ร้อนถึง พลตำรวจโท วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.ต้องเดินทางมาชี้แจง ก่อนที่จะมีการนำเจ้าหน้าที่เข้าค้นด้วยตัวเอง และคำตอบที่ได้คือไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใด ๆ

สาเหตุของการบุกเข้าตรวจค้นครั้งนี้เป็นไปตามปฏิบัติการระดมกำลังกวาดล้างเครือข่ายแก๊งพนันออนไลน์ ที่มีการจัดกำลังตำรวจเข้าค้นรวม 30 จุดใน 6 จังหวัดทั่วประเทศ น่าสนใจว่า ระดับรอง ผบ.ตร.ที่ดูแลงานสืบสวนสอบสวนอย่างบิ๊กโจ๊กไม่รู้ความเคลื่อนไหวนี้ได้อย่างไร จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทันทีทันใดหลังเกิดข่าวจะมีเสียงวิจารณ์ว่า นี่เป็นการเตะตัดขาในจังหวะของการช่วงชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.โค้งสุดท้าย จนบิ๊กโจ๊กต้องออกตัวว่า “ผมไม่ใช่แคนดิเดต”

อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่เรื่องที่ทางตำรวจชุดตรวจค้นอ้างว่าไม่รู้ว่านี่เป็นบ้านของรอง ผบ.ตร. เหตุผลที่แท้จริงที่ต้องเข้าตรวจค้น เพราะก่อนหน้านี้มีการออกหมายจับตำรวจ 8 นายที่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์เบ็ตฟลิกซ์รอยัลดอทคอม และเว็บพนันอื่น ๆ รวม 12 เว็บไซต์ จากการสืบสวนพบหลักฐานที่บ่งชี้ชัดเจนว่าตำรวจบางนายจาก 8 รายที่ถูกออกหมายจับนั้น มีพฤติการณ์ลักษณะเป็นผู้บริหารเว็บไซต์พนันออนไลน์หรือเสมือนเป็นเจ้าของ

ส่วนรายอื่น ๆ มีผลประโยชน์เชื่อมโยงในแต่ละกลุ่ม บางคนมีหลายพฤติการณ์ พบว่าได้กระทำผิดมานานกว่า 2 เดือนแล้ว แต่ไม่มีการเปิดเผยจำนวนเงินหมุนเวียนที่เชื่อมโยงตำรวจแต่ละรายว่าเป็นจำนวนเท่าใด หากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมถือว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา เพราะตำรวจที่ถูกหมายจับมีตั้งแต่ระดับยศพลตำรวจตรีไปจนถึงชั้นประทวน เรื่องนี้บิ๊กโจ๊กย้ำว่าเป็นเรื่องของตำรวจแต่ละนายจะต้องไปชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวนให้ได้ แต่ยืนยันและเชื่อใจว่าลูกน้องของตนไม่ได้กระทำผิดตามที่กล่าวหา

น่าสนใจต่อรายชื่อของตำรวจที่ถูกออกหมายจับ 1 ในนั้นคือ นายตำรวจที่บิ๊กโจ๊กดึงมาร่วมเป็นชุดสืบสวนคลี่คลายคดีกำนันนก ซึ่งเป็นตำรวจที่ได้รับการกล่าวขานจากบรรดาสื่อมวลชนสายอาชญากรรมว่าเป็นตำรวจน้ำดีคนหนึ่งในแวดวงสีกากี ดังนั้น กรณีที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่เกมหักเหลี่ยมกันในการช่วงชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.เท่านั้น อาจจะถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับคดีกำนันคนดังด้วยหรือไม่ เข้าทำนองเจอตอใหญ่ เหมือนที่มีการพูดถึงประเด็นโอนคดีจาก สภ.เมืองนครปฐมมาอยู่ในมือของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

 มากไปกว่านั้น จุดที่น่าจับตาก็คือ หลังเกิดการบุกค้นบ้านบิ๊กโจ๊ก นักข่าวก็ถามกับ เศรษฐา ทวีสิน ก็ได้รับคำตอบว่า พลตำรวจเอก ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้รายงานเรื่องนี้ให้ทราบแล้ว อยู่ระหว่างการดำเนินการสืบสวนสอบสวนอยู่ และจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบด้วย เพราะ “เรื่องนี้ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่มาก” ที่นายกฯ พูดคือ ถึงเวลาต้องล้างบาง ที่แน่ ๆ คือในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. เศรษฐาจะนั่งหัวโต๊ะเพื่อเคาะรายชื่อ ผบ.ตร.ในวันที่ 27 กันยายนนี้ 

เรียกได้ว่า ต้องรอกันจนวินาทีสุดท้าย ที่บิ๊กโจ๊กบอกว่าตัวเองไม่ใช่แคนดิเดตนั้น ความจริงแล้วในแวดวงเป็นที่รู้กัน ช่วงปลายรัฐบาลสืบทอดอำนาจมีการเคาะชื่อไปแล้วว่าจะเป็น “บิ๊กต่อ” พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล เพียงแต่เกิดการเปลี่ยนผ่านอำนาจบริหารเสียก่อน ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจึงโชว์แมนปล่อยให้การตัดสินใจตั้ง ผบ.ตร.เป็นหน้าที่ของนายกฯ คนใหม่ งานสำคัญจึงตกมาอยู่ในมือของเศรษฐา ดังนั้น ข่าวใหญ่วันนี้ที่เกิดขึ้นจึงถูกโยงเป็นการดิสเครดิตแย่งชิงเก้าอี้กันไปโดยปริยาย

จะว่าไปในส่วนของบิ๊กโจ๊กด้วยอายุราชการที่ยังเหลืออีกหลายปี ยังมีโอกาสรอที่จะก้าวขึ้นมาผงาดเป็นใหญ่ในฐานะเบอร์ 1 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ หากไม่เกิดการสะดุดขาตัวเองด้วยเหตุบริวารเป็นพิษเสียก่อน ต้องไม่ลืมกันว่าก่อนหน้านั้นเจ้าตัวก็เคยหลุดวงโคจรจากข้าราชการตำรวจไปแล้วเมื่อปี 2561 ด้วยคำสั่งย้ายจากผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ขณะนั้น ตามมาด้วยคำสั่งหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 โอนไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ประจำปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

ไม่เพียงแค่การถูกย้ายเข้ากรุเท่านั้น บิ๊กโจ๊กยังถูกขึ้นบัญชีเป็นบุคคลต้องได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช. และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ทำให้ต้องโลว์โปรไฟล์ตัวเองหายไปจากหน้าข่าวใช้ชีวิตในฐานะข้าราชการพลเรือน 2 ปีเต็ม ก่อนที่ในปี 2564 ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ลงนามคำสั่งโอนย้ายกลับไปเป็นตำรวจอีกครั้ง โดยการชี้แจงว่าเป็นเรื่องของการทำงานที่โยกมาที่สำนักนายกฯ สอบแล้วยังไม่ได้ข้อยุติก็ส่งกลับไป และกลับไปสอบต่อที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ้าไม่มีคดีค้างที่ ป.ป.ช.ก็กลับไปต้นสังกัดได้

ถือเป็นประวัติการทำงานที่โลดโผน จนถูกมองว่าเป็นนายตำรวจแมวเก้าชีวิตหรือไม่ แม้ว่าจะได้บทสรุปในเก้าอี้ ผบ.ตร.ในวันพุธนี้ไปแล้วก็ตาม ปมของบิ๊กโจ๊กยังคงจะเป็นกระแสให้ต้องเกาะติดกันต่อเนื่อง แต่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า “การเมืองภายในของตำรวจ” นั้น ไม่มีอะไรซับซ้อน ถ้าทุกอย่างลงตัวก็พร้อมที่จะทำให้เรื่องที่เคยถูกมองว่าเผ็ดร้อน สังคมให้ความสนใจ กลายเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน แล้วก็อยู่กันต่อไปจนกว่าจะเข้าสู่ฤดูกาลโยกย้ายอีกกระทอก นี่คือวัฏจักรของวงการสีกากี

ส่วนแวดวงการเมือง หลังจากกลับจากร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เศรษฐายังคงมีคิวงานโดยเฉพาะการเดินสายตรวจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจต่อเนื่อง วันสองวันนี้ต้องเคาะเก้าอี้ ผบ.ตร.ให้จบจะได้ขยับทำเรื่องอื่นต่อไป แต่น่าดีใจสำหรับเจ้าตัวเมื่อ วิษณุ เครืองาม เนติบริกรคนสำคัญของรัฐบาลสืบทอดอำนาจออกปากชมบุคลิกภาพของท่านผู้นำถือว่าสอบผ่าน น่าจะบริหารประเทศได้ดี ห่วงเรื่องเดียวคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องไม่ทำแบบ Only One เศรษฐา ตรงนี้แหละที่รัฐบาลซึ่งใช้ต้นทุนสูงต้องตระหนัก หากเป็นเอกภาพ ทำงานเป็นทีมไม่ได้ อนาคตทางการเมืองบอกได้คำเดียวตายกันยกฝูง

Back to top button