KLINIQ-MASTER 2 หุ้นความงามโตเกินต้าน

ในปีนี้ต้องจับตา 2 หุ้นด้านความสวยความงามที่ประกาศตัวจะเติบโตแบบฉุดไม่อยู่ เพราะตั้งเป้าจะทุบสถิติเก่า สร้างสถิติใหม่ ทั้งกำไรและรายได้


เส้นทางนักลงทุน

ในปีนี้ต้องจับตา 2 หุ้นด้านความสวยความงามที่ประกาศตัวจะเติบโตแบบฉุดไม่อยู่ เพราะตั้งเป้าจะทุบสถิติเก่า สร้างสถิติใหม่ ทั้งในเรื่องของกำไรและรายได้

ตัวแรกหุ้น บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม หรือ KLINIQ ประกอบธุรกิจคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนัง ความงาม ศัลยกรรมตกแต่ง และการดูแลป้องกันฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งถือเป็นหุ้นที่ไม่เคยทำให้นักลงทุนผิดหวัง

เพราะนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นยังไม่เคยต่ำกว่าราคาออกและเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) หรือราคาจองที่ 24.50 บาท โดยในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ราคาเคลื่อนไหวต่ำสุดอยู่ที่ 33.25 บาท สูงสุด 47.25 บาท

ส่วนหุ้นตัวที่สองคือ บมจ.มาสเตอร์ สไตล์ หรือ MASTER ประกอบกิจการสถานพยาบาลด้านความงาม ที่ให้บริการศัลยกรรมครบวงจร ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2566 ด้วยราคา IPO ที่ 46 บาท ในรอบ 1 ปี ราคาต่ำสุดเคยหลุดต่ำกว่าราคาจองไปที่ 41.50 บาท สูงสุด 83.18 บาท แต่ล่าสุดอยู่เหนือ 60 บาท

สำหรับ KLINIQ นั้น ตามแผนธุรกิจ 5 ปี (2566-2570) ต้องการสร้างอาณาจักร “เดอะคลีนิกค์” ให้เป็น “จักรวาลความงาม” หรือบิวติเวิร์ส (Beauty+Universe) ในแต่ละปีจะใช้เงินลงทุนราว 300 ล้านบาทต่อปี เปิดเดอะคลีนิกค์ไม่ต่ำกว่าปีละ 10 สาขา ส่งผลให้ภายในปี 2570 จะมีคลินิกให้บริการแก่ลูกค้าทะลุ 100 สาขา

โดยในปี 2567 จะพุ่งชนเป้าหมายทำ All Time High ทั้งรายได้และกำไรอีกครั้ง เดินหน้าขยายสาขาใหม่อีก 15 สาขา เพื่อผลักดันรายได้ให้เติบโต 30-40% จากปี 2566 รายได้น่าจะจบที่ประมาณ 2,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 30-40% จากปีก่อน เพราะ 9 เดือนของปีมีรายได้ทะลุ 1,600 ล้านบาทแล้ว

KLINIQ จะไปให้ถึงฝั่งฝันด้วยการต่อยอดความสำเร็จจากธุรกิจหลักไปสู่ธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง เพื่อเชื่อมโยง The Ecosystem อาทิ “KLINIQ SPA” รวมทั้งมีความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เปิดตัว “THE KLINIQUE-Stem Cell Harvesting Center” (TSHC) ศูนย์เก็บเซลล์ไขมันเพื่อฝากสเต็มเซลล์ ซึ่งเป็นเทรนด์ดูแลสุขภาพชะลอวัย

ด้าน MASTER ตั้งเป้ารายได้ในปี 2567 เติบโต 20% จากปีก่อน หลัก ๆ จะเป็นกลุ่มศัลยกรรมจมูก ซึ่งเป็นบริการอันดับ 1 ของบริษัท เพราะยังมียอดจองจากลูกค้าเพื่อเข้าใช้บริการเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ศัลยกรรมจมูกมีสัดส่วน 40% ของรายได้รวม

MASTER ยังมีแผนที่จะซื้อกิจการและร่วมเป็นพาร์ตเนอร์ (M&P) อย่างต่อเนื่องอีก 6-7 ดีล จะเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ขณะเดียวกันก็เริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรและ Synergy เพิ่มขึ้นจากดีลที่ปิดในปี 2566 เริ่มจากในไตรมาส 2/2567 จะเริ่มรับรู้ V Square, Dr.Top Hair, TYP, CMNH และไตรมาส 3/2567 รับรู้ BEQ, Twinkle Star

จุดเด่นของ MASTER มาจากเป็นธุรกิจที่เกาะเทรนด์เติบโตของอุตสาหกรรมความงาม เป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมติด 1 ใน 5 ชั้นนำของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่ครบวงจร มีศักยภาพหนุนการเติบโตระยะยาว

หากประเมินตามสายตาของโบรกเกอณ์ เช่น บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดาโอ (ประเทศไทย) มองว่ากำไรสุทธิปี 2566 จะอยู่ที่ 404 ล้านบาท เติบโต 34% จากปีก่อน และปี 2567 กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 579 ล้านบาท เติบโต 43% จากการรับรู้ การขยายธุรกิจเต็มปี

ทั้งนี้ ในปี 2566 มีพื้นที่ให้บริการ เติบโต 144% ประเมินว่าในระยะเวลา 3 ปี (2565-2567) อัตราการเติบโตของกำไรจะสูงถึง 39% และมีโอกาสเติบโตจาก M&P อีกมาก

รวมทั้งความสามารถในการทำกำไรขั้นต้น (GPM) ที่เพิ่มขึ้น จากการใช้ศักยภาพที่มีอยู่ (utilization rate) ที่ดีขึ้น และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก Wind Clinic, KIN, Dr.Chen, Rattinan เต็มปี

โบรกเกอร์จึงให้ราคาเป้าหมาย MASTER ในปี 2567 ที่ 99 บาท P/E 45 เท่า ใกล้เคียงกับ P/E เฉลี่ยตั้งแต่เข้าเทรดในตลาด แต่มองว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/2567 อาจจะขยายตัวจากงวดเดียวกันปีก่อน แต่จะชะลอตัวจากไตรมาสก่อนตามฤดูกาล

จึงถือว่าทั้ง KLINIQ และ MASTER เป็น 2 หุ้นความงามที่ตั้งเป้าการเติบโตแรงเกินต้านจริง ๆ

Back to top button