ฝรั่งทุบหุ้นต่อ?

หากดูลักษณะการเคลื่อนตัวที่ตื้อ ๆ ตัน ๆ ของดัชนีจะเห็นว่า ทั้งหมดขึ้นอยู่กับท่าทีต่างชาติที่มีต่อตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก


หากดูลักษณะการเคลื่อนตัวที่ตื้อ ๆ ตัน ๆ ของดัชนีจะเห็นว่า ทั้งหมดขึ้นอยู่กับท่าทีต่างชาติที่มีต่อตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก จึงไม่ควรคาดหวังการซื้อของนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวจะต่อเนื่องเหมือนในอดีต เพราะเมื่อดูจากค่า PE ของตลาดหุ้นไทยที่อยู่ในระดับ 18 เท่า และต้องลุ้นให้กำไรที่จะประกาศในแต่ละไตรมาสต้องเติบโต มันกลายเป็นตัวบั่นทอนกำลังใจของนักเล่นอย่างมีนัยสำคัญนะตัวเอง

เนื่องจากองค์ประกอบแต่ละอย่างมันไม่เอื้อให้บริษัทจดทะเบียนเบ่งกำไรออกมาโต ขณะเดียวกันก็ได้รับแรงกดดันจากปัจจัยลบรอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาสงครามที่มีลักษณะ “โผล่ที่นั่นที โผล่ที่นี่ที” กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้นักลงทุนพร้อมจะขายหุ้นออกมาแบบไม่คิดอะไรทั้งสิ้น และทำให้ภาพของการลงทุนขมุกขมัวตลอดเวลา  เดี๊ยนถึงมองว่า ต่างชาติจะฉวยจังหวะทุบหุ้นไทยอีกแน่นอนเจ้าค่ะ

ประกอบกับวันก่อนที่ดัชนีลง 30 จุด “โมนิก้า” ได้เห็นสัดส่วนการซื้อขายของต่างชาติทะลุขึ้นไปถึงระดับ 62% ขณะที่รายย่อยมีสัดส่วนเหลือแค่ระดับ 25% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ๆ และทำให้รู้ว่า รายย่อยไม่เหลืออิมแพคอะไรอีกแล้ว รวมทั้งการที่กองทุนมีสัดส่วนการซื้อขายอยู่ในระดับต่ำกว่า 10% ก็เหมือนเป็นการรับสภาพสังขารที่ไปต่อไม่ไหวจริง ๆ ส่วนป๊อบเทรดก็ขอแค่ประคองตัวไปวัน ๆ ก็เท่านั้นเองค่ะ

เมื่อสภาพของการลงทุนเป็นเยี่ยงนี้ “โมนิก้า” ถึงเข้าใจเหตุผลที่ดัชนีทรุดตัวลงแรงอีกวัน เพราะมันไม่มีอะไรเข้ามาคานอำนาจต่างชาติได้สักอย่าง วานนี้ถึงเห็นดัชนีลงมาปิดที่ระดับ 1,361.02 จุด ลบไป 5.92 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.39 หมื่นล้านบาทชนิดที่เซ็งเป็ดกันเป็นแถบ และอาจเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนครึ่งที่ดัชนีจะหลุดลงไปต่ำกว่าระดับ 1,350 จุด จึงอยากให้ทุกคนทำใจ และตั้งสติก่อนจะลงมือเคาะหุ้นรอบใหม่ว่า คุ้มไหม? พะย่ะค่ะ

ขนาดหุ้น “ตัวเด็ด ตัวดัง” ทนได้ทุกสภาพอย่างพี่เทพ PTTEP ยังถูกรินขายออกมาตลอดทั้งวัน จนราคาหุ้นลงมากองอยู่ที่ระดับ 159 บาท ลบไป 5 บาท หรือลงไป 3% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.52 พันล้านบาท เหมือนเป็นการย้ำหัวหมุดให้รู้ว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยไม่ปกติ ซึ่งเป็นไฟต์บังคับที่ทำให้นักเล่นต้องถอยร่นเร่งด่วนแบบนี้ มันคุ้มกับการเข้าไปช้อนหุ้นจริงไหม?..ลองไปคิดกันดูนะตัวเอง

เช่นเดียวกับในรายของ PTTGC ก็กรุยทางขึ้นต่อเนื่อง และพยายามยกฐานสูงขึ้น แต่วานนี้กลับเจอแรงขายสาดใส่ตลอดเวลา จนลงมายืนปิดที่ระดับ 39 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 2.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.01 พันล้านบาท อาจเป็นระดับที่น่าซื้อสวนก็จริง แต่เมื่อดูแก๊ปที่จะทำให้หุ้นวิ่งต่อยาว ๆ เหลือน้อยเต็มที่ เดี๊ยนก็ต้องออกตัวก่อนใครเพื่อนว่า คนที่จะเข้าไปลุยจังหวะนี้ ควรเน้นทำรอบสั้น ๆ เพราะเข้าใกล้ 41 บาททีไร..ลงทุกทีค่ะ

ส่วนรายที่เจอ 2 แรงบวกด้านลบเต็ม ๆ “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นยาง STA หลังขึ้นเครื่อง XD หุ้นละ 1 บาท แต่ราคาหุ้นดันทิ้งตัวลงมาปิดที่ 17.40 บาท ลบไป 1.40 บาท หรือลงไป 7.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 243 ล้านบาท อาจเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจจริง ๆ แต่ในเมื่อสภาพแวดล้อมไม่เอื้อเหมือนเมื่อก่อน จึงต้องปล่อยไปตามยถากรรม และทำให้โมเมนตัมการเคลื่อนตัวกลับมาเป็นไซด์เวย์ดาวน์แบบนี้..ทำใจอย่างเดียวจ้า!

ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้นน้องใหม่อย่าง NEO เพื่อชี้ให้เห็นการทิ้งลงมาปิดที่ระดับ 42.25 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 1.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 384 ล้านบาท ทั้งที่หุ้นตัวนี้มีพวกวีไอเข้ามาร่วมถือหุ้นเยอะ และยังมีกองทุนคอยซัพพอร์ตตลอดเวลา แต่ทันทีที่บรรยากาศตลาดหุ้นไม่เป็นใจเหมือนที่วาดฝัน ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนไปหมดสิ้น และทำให้ราคาหุ้นลง 4 วันติดแบบนี้..ท่าจะไม่ดีแล้วนะคะ

เหมือนกับในรายของ ADVANC ก็ไหลลงต่อเนื่อง 4 วันติด พร้อมกับทำนิวโลว์ในรอบ 1 ปี 2 เดือน ถือเป็นช็อตที่ย้ำให้ขาประจำรู้ว่า หุ้นเปลี่ยนทิศเป็นไซด์เวย์ดาวน์เต็มตัว ผนวกกับไม่มีสตอรี่ใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาบิ้วอารมณ์ของต่างชาติ เดี๊ยนเลยมองว่า การยืนปิดที่ระดับ 197 บาท ลบไป 2.50 บาท หรือลงไป 1.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.73 พันล้านบาทเป็นจังหวะของ “wait & see” เพื่อความสบายใจไงล่ะคะ

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button