LTF อีกตัวช่วยใหม่

ล่าสุดสภาธุรกิจตลาดทุนเห็นชอบแนวทางที่สมาคมบริษัทจัดการลงทุน เสนอมาเกี่ยวกับรูปแบบกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)


ล่าสุด สภาธุรกิจตลาดทุน หรือ FETCO เห็นชอบแนวทางที่สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เสนอมาเกี่ยวกับรูปแบบกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)

ยังไม่มีข้อมูลหลุดออกมาว่า เกณฑ์จะเป็นอย่างไร

เพราะข่าวว่าคนจะให้ข้อมูลในเรื่องนี้มีเพียง 2 คน

นั่นคือ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” ผู้บริหารระดับสูงแบงก์กรุงเทพ (BBL) ในฐานะประธาน FETCO

และ “ชวินดา หาญรัตนกูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC)

ส่วนข้อมูลที่ให้ออกมานั้นยังไม่สามารถเปิดเผยเกณฑ์ได้

เพราะต้องให้ทางรัฐมนตรีคลังรับทราบก่อน

แต่เบื้องต้น คือ เกณฑ์จะเป็นในแนวทางเดียวกันกับที่ รมว.คลัง “พิชัย” เคยกล่าวไว้

โดยเฉพาะช่วงระยะเวลาน่าจะอยู่ประมาณ 5 ปี

แต่ที่ต้องลุ้นคือ จำนวนที่จะลดหย่อนภาษีจะถึง 5 แสนบาทหรือไม่

เพราะหากย้อนกลับไปดูที่ขุนคลัง “พิชัย” กล่าวไว้ล่าสุด

ประเด็นเรื่องของเวลาค่อนข้างจะชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้ยาวมาก เพราะจะไปซ้ำรอยกับกองทุนภาษี SSF และ TESG ที่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก

ยอดขายไม่เป็นไปตามที่คาดกันไว้

หากจะถามว่าระหว่างเงื่อนเวลาในการลงทุน กับจำนวนเงินที่จะนำมาลดหย่อนภาษี (อาจจะลดลงบ้าง)

ประเด็นไหนจะดึงดูดคนเข้ามาลงทุนมากกว่า

คำตอบน่าจะเป็นเกณฑ์ที่เป็นระยะเวลาลงทุนนั่นแหละ

เพราะอะไรที่เป็นการลงทุนแบยาว ๆ เกินไป คนจะไม่ค่อยสนใจมากนัก ส่วนเรื่องเงินที่ลดหย่อนภาษีนั้น

หากไม่ถึง 5 แสนบาท ก็ไปใช้ช่องทางลงทุนอื่น ๆ เข้ามาเป็นตัวช่วยได้ เช่น ซื้อประกันชีวิต

ขั้นตอนต่อจากนี้ FETCO จะรีบนำเสนอต่อรัฐมนตรีคลัง

และเชื่อว่าขั้นตอนในส่วนของคลังไม่น่าจะใช้เวลานาน เพราะขุนคลัง “พิชัย“ เองอยากให้เกิดขึ้นโดยเร็ว

เพราะจะได้เข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพของบลจ.ในการพลิกฟื้นตลาดหุ้น รับมือกับชอร์ตเซล และแรงขายอย่างบ้าคลั่งของนักลงทุนต่างชาติ

ช่วงเวลาที่มีการประเมินกันไว้บอกว่าอาจจะเริ่มนำมาใช้ได้ในปี 2568

ทว่า ล่าสุด ตอนนี้มาเริ่มลุ้นกันว่า อาจจะเริ่มนำมาขายได้ภายในปี 2567 นี้เลย

หากคลังไม่ได้มีการตีกลับ หรือเสนออะไรกลับมาให้ต้องมาแก้ไขวุ่นวาย

แม้จะมีความเห็นจากอธิบดีกรมสรรพากรว่า อาจจะส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้หายไปกว่า  หมื่นล้านบาท

แต่สำหรับประเด็นนี้แล้ว ขุนคลังอย่าง “พิชัย” อยู่ในตลาดเงินตลาดทุนมานาน น่าจะ “อ่านขาด” คือ แม้จะสูญเสียรายได้จากตรงนี้ไปบ้าง

แต่น่าจะไปได้คืนทางด้านอื่นแทน จากวอลุ่มเทรดที่เพิ่มขึ้น ผลประกอบการ บล. เม็ดเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น

และรวมถึงบรรยากาศการลงทุนที่จะกลับมาคึกคัก

กระทั่งงผลบวกต่อเศรษฐกิจภาพรวม

มีการดีดลูกคิดคำนวณกันออกมา

หากเม็ดเงินเข้ามาในตลาดหุ้นเพิ่ม 6-8 หมื่นล้านบาทต่อปี

จะช่วยดันดัชนีหุ้นไทยได้มากกว่า 40-60 จุด

เพราะหุ้นที่ลงทุนจะโฟกัสไปยังกลุ่มที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่

เน้นกลุ่ม SET50 รวมถึงกลุ่ม SET100

มาดูกันว่า หากขั้นตอนของ LTF ไม่ได้ติดขัดอะไร และเป็นไปตามที่สมาคม บลจ.เสนอ

หุ้นน่าจะพลิกกลับมาได้ไม่มากก็น้อยล่ะ

ธนะชัย ณ นคร

Back to top button