
พาราสาวะถี
ยังคงเป็นเกมหยั่งเชิงวัดใจ หลอกล่อกันด้วยการสร้างประเด็นให้เป็นข่าวกับการปรับ ครม. น่าสนใจตรงที่ฟากเพื่อไทย มีการให้ข่าวของระดับนำเรียกร้องให้บรรดา สส.ของพรรคเลิกโจมตี หรือกดดันพรรคภูมิใจไทย
ยังคงเป็นเกมหยั่งเชิงวัดใจ หลอกล่อกันด้วยการสร้างประเด็นให้เป็นข่าวกับการปรับ ครม. น่าสนใจตรงที่ฟากเพื่อไทยในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล มีการให้ข่าวของระดับนำเรียกร้องให้บรรดา สส.ของพรรคเลิกโจมตี หรือกดดันพรรคภูมิใจไทย โดยบอกเป็นอำนาจของ แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล หลังเข้าพบอุ๊งอิ๊งเมื่อช่วงเย็นวันจันทร์ ก็ยืนยันว่าไม่มีการคุยกันเรื่องขอเก้าอี้คืน มีแต่สั่งงานวางแผนกันยาวไปถึงปีหน้า
มาพร้อม ๆ กับการตั้งโต๊ะแถลงข่าวของพรรคสีน้ำเงินย้ำว่าไม่มีการปรับ ครม. ถือเป็นทางเลือกที่ผิดวิสัยเพราะโดยปกติ และมารยาทเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของคนเป็นนายกฯ ที่จะต้องพูดเอง ทุกครั้งเสี่ยหนูก็จะย้ำเสมอว่า ทุกคนทุกฝ่ายต้องฟังแพทองธาร แต่หนนี้มันแปลกแปร่งยังไงชอบกล ตามมาด้วยการเล่นข่าวคู่ขนาน พรรคเตรียมจะฟ้อง กกต.ที่มีการเรียกแกนนำไม่เว้นแม้กระทั่งอาจารย์ใหญ่ของพรรคเข้าให้ปากคำปมฮั้วเลือก สว. พร้อมชี้ เป็นการเล่นเกมการเมืองที่มุ่งหวังจะยุบพรรคให้ได้
ในกรณีหลังถือเป็นเรื่องระหว่าง กกต.กับพรรคสีน้ำเงิน แน่นอนว่า เมื่อเป็นองค์กรอิสระย่อมต้องแสดงให้เห็นว่าปราศจากการครอบงำ ชี้นำใด ๆ ยิ่งเป็นคณะกรรมการที่ถูกตั้งมาในยุคของเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นส่วนใหญ่ จึงมองไม่เห็นว่าจะถูกฝ่ายการเมืองปัจจุบันแทรกแซงได้อย่างไร เว้นเสียแต่ว่า อาจจะมีผู้มีบุญคุณที่อยู่ต่อคนในองค์กรสั่งการ เพื่อต้องการเล่นงานเสี่ยหนูและคณะ นั่นก็เป็นอีกเรื่อง เพราะคนเคยมีอำนาจแล้วรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง ยังไงก็ต้องขอสั่งสอนให้ได้สำนึกกันบ้าง
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของภูมิใจไทยที่จะนำเสนอสองประเด็นนี้ประกบมาด้วยกัน ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตคงเป็นกรณีที่เสี่ยหนูอ้างว่าเข้าพบนายกฯ ไม่ได้คุยกันเรื่องปรับ ครม. แต่กลับมีคุณแหล่งข่าวรายงานว่า แพทองธารได้มีการบอกกับเสี่ยหนูจะขอขยับเก้าอี้ในรัฐบาล โดยเพื่อไทยขอตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไปบริหารเอง พร้อมกับเสนอสองเก้าอี้ว่าการทั้งสาธารณสุขและพาณิชย์เป็นการแลกเปลี่ยน
ตามคำให้สัมภาษณ์ของอนุทินเมื่อเย็นวันจันทร์ ต่อเนื่องถึงเช้าวันอังคาร ยืนยันยึดตามข้อตกลงในการเข้าร่วมรัฐบาลครั้งแรก โดยภูมิใจไทยขอคุมกระทรวงเดิมทั้งหมด หากหลุดไปจากนี้ยินดีที่จะไปเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่ตามโทนทางข่าวในการพูดคุยกับนายกฯ เสี่ยหนูบอกว่า ขอนำสิ่งที่แพทองธารได้บอกกล่าวมาไปหารือกับที่ประชุมรัฐมนตรีและ สส.ของพรรคก่อน ย่อมเกิดข้อคำถามตามมาว่า พรรคสีน้ำเงินพร้อมที่จะไปทำหน้าที่ฝ่ายค้านจริงหรือ
หนีไม่พ้นความสงสัยของบรรดาคอการเมือง เพื่อไทยพร้อมที่จะหักดิบ และมั่นใจว่าเสียงที่มีหากตัดภูมิใจไทยไปแล้ว จะทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพยืนระยะไปได้จนครบวาระเลยหรือไม่ โจทย์นี้มันตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ถ้าพรรคสีน้ำเงินยังคงยืนกรานก็จำเป็นที่จะต้องกัดฟัน แล้วไปวัดกันเอาหลังจากนี้ หากเพื่อไทยตัดสินใจแบบนี้ก็เพื่อเป็นการการันตีบารมีให้กับ ทักษิณ ชินวัตร เพราะถ้าช้าไปกว่านี้ก็ไม่รู้ว่าชะตากรรมเกี่ยวกับคดีชั้น 14 จะจบลงอย่างไร
ต้องไม่ลืมว่า นายใหญ่กับกุนซือพรรคสีน้ำเงิน และเสี่ยหนูนั้นเป็นประเภทไก่เห็นตีนงู ขณะเดียวกัน ทั้งผู้มีบารมีของพรรคแกนนำรัฐบาล กับหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ต่างก็มีจุดยึดโยงจุดเดียวกัน จึงทำให้บางเรื่องไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นใดก็อาจมีให้เห็น ดังนั้น จึงอย่าเพิ่งไปเชื่อในความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่ปรากฏเป็นข่าว แม้จะมองเห็นว่ามีรอยร้าวเกิดขึ้น หากเป็นแก้วก็คงยากที่จะประสานให้กลับมาเหมือนเดิม แต่นี่เป็นการเมืองทุกอย่างพร้อมที่จะพลิกผัน เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ถ้าให้เทียบเคียงความน่าเป็นห่วงระหว่างภูมิใจไทยกับรวมไทยสร้างชาติ พรรคหลังน่าลุ้นมากกว่า ยังจะคงได้ร่วมรัฐบาลต่อไปหรือไม่ ซึ่งคงไม่มีปัญหา ประเด็นที่ต้องจับตาดูคงเป็นเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรียังอยู่ครบ และได้คุมกระทรวงเดิมหรือเปล่ามากกว่า จุดชี้วัดมันอยู่ที่จำนวน สส.ทั้ง 36 คนยังนำเสนอเป็นแพ็กเดียวเหมือนตอนร่วมรัฐบาลครั้งแรกหรือไม่ ถ้าไม่ใช่เป็นสูตร18-18 คำถามต่อมาคือ ใครจะเป็นผู้นำในการเจรจา ต่อรองขอตำแหน่ง เพราะนายกฯ หญิงก็บอกแล้วว่า ให้ไปแก้ปัญหากันเองภายในพรรค
มาถึงตรงนี้ สุชาติ ชมกลิ่น ก็ยืนยันไม่ขอสังฆกรรมกับแกนนำของพรรคทั้งหมด จะอยู่กันไปอย่างนี้จนกว่าจะมีเลือกตั้งใหม่ จะใช้สูตรเหมือนคราวพลังประชารัฐคงไม่ใช่ เนื่องจากกลุ่มนั้นมีบุคลากรพร้อมที่จะเป็นตัวตายตัวแทน โดย ธรรมนัส พรหมเผ่า ยินดีรับบทผู้เสียสละ และสามารถที่จะเป็นที่พึ่งของเหล่าคนในสังกัดได้ แต่กับกรณีรวมไทยสร้างชาติไม่ใช่ จริงอยู่กลุ่มเสี่ยเฮ้งอาจมีนายทุนใหญ่ให้กับหนุนหลัง แต่มันจำเป็นที่จะต้องมีคนซึ่งเป็นตัวแทนเข้าไปอยู่ในอำนาจบริหาร และมีพลังในการขับเคลื่อนด้วย
ด้วยเหตุผลเช่นนี้ จึงจะมีการยกเก้าอี้ให้ไปเป็นโควตาของพรรคโอกาสใหม่ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลาออกจากราชการมาสวมหัวโขนเสนาบดีแทน ถือเป็นการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น สูตรการเมืองแบบนี้ หากหวังผลถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า นายใหญ่ ลูกสาวพร้อมด้วยพรรคร่วมรัฐบาลจะต้องเร่งปั๊มผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ หากยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันเหมือนที่เป็นอยู่ ย่อมสุ่มเสี่ยงว่าจะทำให้อีกฝ่ายมีโอกาสชนะแบบถล่มทลาย เท่ากับว่ารัฐบาลพลิกขั้วที่อุตส่าห์รวมหัวกันมาเพื่อสกัดพรรคสุดโต่งเข้าสู่อำนาจบริหาร ล้มเหลวไม่เป็นท่า
หลังจากประเมินความเคลื่อนไหวกันใกล้ชิด บทสรุปของการปรับ ครม.หนนี้ คงอยู่ที่การแถลงของเสี่ยหนูที่ทำเนียบฯ ต่อจากแพทองธาร แม้จะยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมคืนเก้าอี้ มท.1 แต่ก็มีการออกตัวว่า ไม่ใช่คนดื้อด้าน ถ้านายกฯ จะมีทางใหม่ รื้อใหม่หมด ทุบใหม่หมด คุยกันไม่แยกคุย เป็นการคุยกันเลยว่าพรรคร่วมรัฐบาลชุดนี้เอาอย่างไร คุยกันแบบมีเหตุมีผล แบบนี้ตนก็พร้อมที่จะรับฟัง วางทางถอยกันแบบนี้ไม่ต้องสืบจะลงเอยกันแบบไหน ยังไงก็ไปกันต่อ ส่วนจะอยู่กันไปยาว ๆ หรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
อรชุน