
KTC เข้าเก็บได้หรือยัง
บมจ.บัตรกรุงไทย (เคทีซี) และ บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) วานนี้ราคาหุ้นร่วงมาที่ “ฟลอร์” (-15% ตามเกณฑ์ชั่วคราว ตลาดหลักทรัพย์ฯ) พร้อมกัน
บมจ.บัตรกรุงไทย (เคทีซี) และ บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) วานนี้ราคาหุ้นร่วงมาที่ “ฟลอร์” (-15% ตามเกณฑ์ชั่วคราว ตลาดหลักทรัพย์ฯ) พร้อมกัน
หากเข้าไปดูกลุ่มผู้ถือหุ้นของทั้งเคทีซี และ XPG
จะพบว่ามีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เป็นรายเดียวกัน แต่จะเกี่ยวพันกับหุ้นที่ลงมาติดฟลอร์หรือเปล่า ยังไม่สามารถยืนยันได้
แต่จากกระแสข่าวบอกว่าผู้ถือหุ้นที่เป็นคนเดียวกันของทั้งสองบริษัท น่าจะถูก “บังคับขาย” (ฟอร์ซเซล)
เพราะกรณีเคทีซี หากพิจารณาข้อมูลจากรายงานสรุปหลักทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้นของตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ เดือนพฤษภาคม 2568 พบว่า มีการนำหุ้น เคทีซี มาใช้เป็นหลักประกันจำนวน 420.2 ล้านหุ้น
หรือคิดเป็นสัดส่วน 16.30% ของหุ้นทั้งหมด
และถือเป็นระดับที่สูงพอสมควร
ส่วนของ XPG พบนำหุ้นมาเป็นหลักประกันจำนวน 1,443.7 ล้านหุ้น
คิดเป็น 13.49% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
ในช่วงภาคเช้าฝั่ง Offer ของหุ้นเคทีซี มีออเดอร์คงค้างอยู่กว่า 150 ล้านหุ้น (ช่วงลงมาฟลอร์) ก่อนที่ออเดอร์จะถูกถอดออกไปราว ๆ 30 ล้านหุ้น ทำให้มีออเดอร์คงค้างอยู่ประมาณ 116 ล้านหุ้นในช่วงภาคบ่าย และเมื่อปิดตลาดมีออเดอร์ค้างอยู่ 97.9 ล้านหุ้น หรือถูกถอดออกไปอีกราว ๆ 18 ล้านหุ้น
จำนวนหุ้นที่ถูกวางมากขนาดนี้ เป็นของกลุ่มของนักลงทุนรายใหญ่แน่ ๆ
ส่วน XPG ราคาหุ้นในช่วงภาคเช้าจะค่อย ๆ ปรับลงมานับจากช่วงของการเปิดตลาด กระทั่งลงมาที่ฟลอร์
แต่ออเดอร์คงค้างในฝั่ง Offer มีไม่มากเท่ากับเคทีซี หรือประมาณ 8-9 ล้านหุ้นเท่านั้น
อย่างที่รับทราบกันว่า การใช้บัญชีมาร์จิ้น “มีความเสี่ยงสูง” เพราะหากราคาหุ้นที่ลงทุนลดลง อาจทำให้ต้องวางเงินเพิ่ม หรืออาจถูกบังคับให้ขายหุ้นออก (Forced Sell)
ย้อนกลับไปดูราคาหุ้นเคทีซี 5 ปีย้อนหลัง
ในช่วงต้นปี 2564 ราคาเคยขึ้นมาระดับ 70.00 บาท บวก/ลบ
และหลังจากนั้น ราคาหุ้นได้ปรับลงมาต่อเนื่อง น่าจะเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด ก่อนที่ราคาหุ้นจะค่อย ๆ ปรับดีขึ้นอีกครั้งในข่วงเดือนก.ค. 2567 และขึ้นมาที่ระดับ 50.00 บาท บวก/ลบ ในช่วงเดือนกพ. 2568
จากนั้น ราคาหุ้นเคทีซี ร่วงลงต่อเนื่อง
และล่าสุดมาอยู่ที่ ระดับ 35.00 บาท เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มิ.ย. 2568
ก่อนจะลงติดฟลอร์เมื่อวานนี้
ปุจฉา เหตุที่ทำให้ราคาหุ้นเคทีซีร่วง หากจะถามว่ามาจากผลประกอบการหรือไม่?
วิสัชนา คำตอบคือ ก็ไม่น่าจะใช่
เพราะหากย้อนกลับไปดูผลประกอบการเคทีซี 5 ปีย้อนหลังพบว่า
ปี 2564 มีรายได้รวม 21,441.67 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้รวม 23,170.28 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้รวม 25,281.88 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้รวม 27,229.93 ล้านบาท
และปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) มีรายได้รวม 6,772.05 ล้านบาท
ส่วนกำไรสุทธิ ปี 2564 มีกำไรสุทธิ 5,878.69 ล้านบาท
ปี 2565 กำไรสุทธิ 7,079.40 ล้านบาท
ปี 2566 กำไรสุทธิ 7,295.39 ล้านบาท
ปี 2567 กำไรสุทธิ 7,437.16 ล้านบาท
และปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) กำไรสุทธิ 1,860.51 ล้านบาท
งบการเงินของเคทีซี 5 ปีย้อนหลัง จะเห็นว่า ทั้งรายได้ และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับราคาหุ้นที่ปรับลงมาตลอด
เช่นเดียวกับงบการของ XPG ในช่วง 3-4 ปีย้อนหลัง ได้ (ฟื้น) ดีขึ้นตามลำดับ
จากปี 2565 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 171 ล้านบาท
แต่ต่อจากนั้นได้มีรายได้และกำไรเติบโตขึ้นทุกปีตามแผนงานธุรกิจใหม่ภายใต้การบริหารของ “ระเฑียร ศรีมงคล” อดีต ซีอีโอของเคทีซี
แน่นอนว่า การลงมาของเคทีซี จะมีคำถามจากนักลงทุนจว่า “เข้าซื้อได้ไหม”
หากดูจาก 15 โบรกเกอร์ที่วิเคราะห์หุ้นเคทีซีให้ราคาเป้าหมายต่ำสุด 34.00 บาท สูงสุด 58.00 บาท และมีราคา (เป้าหมาย) เฉลี่ยที่ 48.50 บาท
ราคาปิดวานนี้ 29.50 บาท ถือว่า มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายอยู่พอสมควร
หากวันนี้ผู้ถือหุ้นที่ถูกฟอร์ซเซล หาเงินมาเติมได้ พร้อมกับดึงออเดอร์ขายกลับ เราน่าจะเห็นการฟื้นตัวของเคทีซีราคาค่อนข้างแรง
หากแต่ยังไม่มีการเติมเงิน
เราคงต้องรอแรงขายให้สะเด็ดน้ำก่อนนั่นแหละ
ธนะชัย ณ นคร