
SET การปรับขึ้นยังจำกัด จากความเสี่ยงภาษีทรัมป์
สหรัฐฯ ประกาศคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไว้ที่ระดับ 36% ขณะที่มีการปรับลดอัตราภาษีให้กับหลายประเทศ
สหรัฐฯ ประกาศคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไว้ที่ระดับ 36% ขณะที่มีการปรับลดอัตราภาษีให้กับหลายประเทศ InnovestX ประเมินว่าความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ได้ยกระดับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ InnovestX มองว่า ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-เวียดนามเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 อาจเป็นฐานสำหรับการเจรจาการค้าของไทย
โดย (1) ไทยอาจต้องลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 0% เช่นเดียวกับเวียดนาม และ (2) ไทยจะต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้นอีกมาก หากการเจรจาสำเร็จ และทำให้ภาษีลดลงเหลือ 15-20% GDP จะเติบโต 1.1-1.4% ในปี 2568 (ความน่าจะเป็น 30%) แต่หากภาษี 21-28% GDP จะขยายตัว 1.0-0.0% (ความน่าจะเป็น 50%) ส่วนในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากต้องเผชิญภาษี 29-36% GDP อาจหดตัวที่ (-0.1%)-(-1.1%) (ความน่าจะเป็น 20%) ไทยมีการนำเข้าสินค้าเกษตร ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ อยู่แล้วในระดับหนึ่ง จึงมีความเป็นไปได้ที่ไทยจะเพิ่มการนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้เพื่อช่วยลดการขาดดุลการค้า
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเปิดนำเข้าสินค้าใหม่ ๆ ที่เคยถูกจำกัดด้วยภาษีนำเข้าสูง เช่น เนื้อสัตว์ รถยนต์ และ เครื่องจักร
Fed Minutes เผยเจ้าหน้าที่มีความเห็นแตกต่างเรื่องผลกระทบของนโยบายภาษีของทรัมป์ต่อเงินเฟ้อ โดยกรรมการ “ส่วนใหญ่” มองว่าภาษีอาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย Fed ยังประเมินว่าเศรษฐกิจโดยรวม “ยังแข็งแกร่ง” ทำให้มีเวลารอดูข้อมูลเพิ่มเติม InnovestX มองว่า ในปัจจุบันความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้องจับตาความเสี่ยงเงินเฟ้อ โดยหากเงินเฟ้อ CPI ไม่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 2–3 เดือนข้างหน้า อาจเปิดทางให้ Fed เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยได้ตั้งแต่เดือน ก.ย. ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ Fed จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งภายในปีนี้
สำหรับตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้น SET จะแกว่งตัวผันผวน เนื่องจากยังกังวลอัตราภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ ที่ประกาศเรียกเก็บจากประเทศคู่ค้าซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. โดยสำหรับไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% สูงกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญในกลุ่มอาเซียน ซึ่งทำให้ไทยมีโอกาสสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและกดดันให้ GDP อาจเติบโตชะลอตัวได้ จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามความคืบหน้าการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับไทยอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ดี InnovestX ยังคงประเมิน SET ที่บริเวณต่ำกว่า 1,100 จุด คิดเป็น PER ปี 2568 ต่ำกว่า 12 เท่า ยังเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว โดยกลยุทธ์ลงทุนคงแนะนำให้ “Selective Buy” ดังนี้
- หุ้น Earning Play โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดยไตรมาส 2/68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน (YoY) และจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ขณะที่ไตรมาส 3/68 คาดกำไรยังเติบโต YoY แนะนำ ADVANC, BCH, CBG, CPALL และ SCCC
- หุ้น Defensive ที่ผันผวนต่ำและผลการดำเนินงานต้านทานความเสี่ยงภายนอกได้ (ผลกระทบจำกัดจากปัจจัยภายในและภายนอก) อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ แนะนำ ADVANC, BCH, DIF
- หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี (SET50 ที่มี SETESG Rating A ขึ้นไป) เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรครึ่งแรกปี 68 และให้ Div. Yield เกิน 2% แนะนำ ADVANC, BBL, PTT
- Trading Idea : สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้น Undervalue (PER และ PBV < -1SD) และเราแนะนำ Outperform อีกทั้งคาดให้ Div. Yield ไม่ต่ำกว่าปีละ 3% แนะนำ BBL, BCPG, BDMS, CPALL, DIF, PTT, SIRI, TIDLOR 2) หุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย แนะนำ ERW, CENTEL, AAV และ 3) หุ้นที่คาดฟื้นตัวเร็วหากเชื่อว่าการเจรจาจะทำให้สหรัฐฯ พิจารณาปรับลดภาษีไทยลงมาอยู่ที่ระดับ 20% หรือต่ำกว่า แนะนำ AMATA, GPSC, WHA
นางสาวณัฏฐ์วริน ไตรภพสกุล
ผู้อำนวยการอาวุโส Equity Strategy Team
บล. InnovestX บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX