
พาราสาวะถี
การเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของ แพทองธาร ชินวัตร ทำให้เห็นว่า ความเป็นกระทรวงเล็กไม่ได้หมายความว่า จะต้องหลุดจากพื้นที่ข่าวเสมอไป
การเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของ แพทองธาร ชินวัตร ทำให้เห็นว่า ความเป็นกระทรวงเล็กไม่ได้หมายความว่า จะต้องหลุดจากพื้นที่ข่าวเสมอไป หลังจากเริ่มปฏิบัติงานเห็นได้ว่านายกรัฐมนตรีหญิงที่ถูกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ผู้นำประเทศ สามารถทำตัวให้เป็นข่าวได้ต่อเนื่องจากหัวโขนของรัฐมนตรีวัฒนธรรม ไม่ใช่เพราะมีทีมงานที่แข็งแกร่ง หรือยังคงมีหัวโขนความเป็นนายกฯ อยู่ หากแต่มันอยู่ที่วิธีในการสื่อสารเพื่อให้เกิดความสนใจ
อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดของงานที่รับผิดชอบ จึงอาจจะไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนการให้สัมภาษณ์ในเก้าอี้นายกฯ แต่การไม่หลุดไปจากพื้นที่สื่อก็ช่วยให้ประชาชนยังคงให้ความสนใจ และเลี้ยงกระแสได้อยู่ แต่ที่เห็นกันเวลานี้คือ บรรดาสารพัดโพลมีการเปิดผลสำรวจความคิดเห็นมาต่อเนื่อง เพื่อชี้ให้เห็นว่าความนิยมของแพทองธารตกต่ำ ซึ่งมันเหมือนการนัดกันมาประกบคู่กับข่าวเรื่องความต้องการอยากให้อดีตผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกลับมาทำหน้าที่ผู้นำประเทศอีกหน
ทั้งที่ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ทว่ายังมีความพยายาม นั่นคงเป็นเพราะแพทองธารมีปมที่ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปมคลิปเสียงคุยกับ ฮุน เซน โดยพวกขาประจำ และบรรดากองแช่งต่างเชื่อกันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ารอดยาก จึงมีการเสนอสูตรสำเร็จสารพัด หวังโน้มน้าวให้สังคมส่วนใหญ่คล้อยตาม เห็นดีเห็นงามด้วย ทำให้ลืมมองความเป็นจริงที่ว่า ถึงจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ช่องทางตามครรลองของสภายังคงมีอยู่
แคนดิเดตนายกฯ ที่พรรคการเมืองเสนอก่อนเลือกตั้งก็ยังอยู่ เมื่อแพทองธารมีอันต้องพ้นจากตำแหน่ง ด้วยโจทย์การเมืองที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่า มันไม่มีทางเลือกอื่น ยังไงก็ต้องให้เพื่อไทยเป็นแกนนำต่อไปด้วยการจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน เลือกแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคนายใหญ่ นั่นเป็นเพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมมองเห็นสภาพปัญหา หากจะต้องมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ภายใต้บริบทที่ว่าพรรคประชาชนจะต้องไม่สามารถก้าวไปสู่อำนาจบริหารบ้านเมืองได้
พิจารณาจากพรรคการเมืองที่มีอยู่ ฐานของมวลชนที่หนาแน่นพอจะสู้กับพรรคสีส้มได้ ย่อมหนีไม่พ้นเพื่อไทย แม้ว่ามวลชนคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งจะเปลี่ยนแนวคิด และการสนับสนุนไปแล้วก็ตาม แต่ยังถือว่าเป็นพรรคที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมมองเห็นมีฐานมวลชนที่เป็นขุมกำลัง เชื่อมั่นว่าจะสามารถต่อกรกับฝ่ายสุดโต่งได้ นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ ทักษิณ ชินวัตร มีความมั่นใจว่า อนาคตของรัฐบาลถึงลูกสาวจะเผชิญกับคดีความที่ไม่รู้บทสรุปจะออกมาแบบไหน ยังไงก็ไม่มีทางตัน
ขณะเดียวกัน หลังจากการถอนตัวออกไปก่อนจะถูกเขี่ยพ้นรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย นายใหญ่ได้รับการการันตีจากมือทำงานแจกกล้วยในสภาว่าเสียงสนับสนุนยังคงเหนียวแน่นเหมือนเดิม ขอเพียงแค่ให้สส.ของพรรคร่วมรัฐบาลไม่แตกแถวเป็นใช้ได้ กรณีนี้ ธรรมนัส พรหมเผ่า ให้สัมภาษณ์ล่าสุด ย้ำเสียงของรัฐบาลมีอย่างน้อย 260 เสียงยืนพื้น ส่วนจะไหลมายกมือหนุนเพิ่มเติมจากนี้อีกหรือไม่ แนวโน้มคงเป็นไปเช่นนั้น อยู่ที่ว่าจะใช้แพ็กเกจแบบเหมาจ่ายทุกเรื่องที่ต้องใช้เสียงในสภา หรือเรียกใช้บริการกันเป็นรายกรณีไป
ปัจจัยที่ทำให้การแจกกล้วย แลกกับการยกมือหนุนจนทำให้พรรคแกนนำเชื่อมั่นว่าจะสามารถประคองให้รัฐบาลไม่ว่าจะมีผู้นำชื่อแพทองธารหรือไม่อยู่รอดปลอดภัยได้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากบรรดาชนชั้นนำ ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ต่างตกผลึกตรงกันการมีทักษิณกุมบังเหียนคอยกำกับ ดูแลรัฐบาลภายใต้การนำของเพื่อไทย ยังไงก็ดีกว่าปล่อยให้การเมืองเดินไปตามครรลองปกติ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นคนเหล่านี้อาจจะเป็นเป้าหมายของฝ่ายกุมอำนาจสุดโต่ง ที่จะถูกตรวจสอบและเล่นงานได้
ภายใต้การเมืองที่ดำเนินไปในลักษณะนี้ การอยู่ร่วมกันของรัฐบาลผสม จำเป็นที่จะต้องมีการพบปะ แลกเปลี่ยน และประเมินสถานการณ์กันบ่อยครั้ง มากกว่าการนัดหมายกินข้าวมื้อเย็นเหมือนที่ผ่านมา การหารืออย่างเป็นทางการถือเป็นการสร้างพื้นที่ข่าวเพื่อทำให้เห็นความสามัคคีกันของพรรคร่วมรัฐบาล แต่การพูดคุยกันทางลับ บางครั้งอาจมีคุณแหล่งข่าวปูดข้อมูลออกมาบ้าง ไม่ใช่เรื่องการรั่วไหลแต่อย่างใด หากเป็นความจงใจที่ต้องการส่งสัญญาณ เพื่อทำให้ฝ่ายเดียวกันเกิดความมั่นใจ บางครั้งก็สับขาหลอกเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามคิดว่ารัฐบาลมีปัญหาขัดแย้ง ไม่น่าจะไปกันรอด
ภาวะที่เห็นคนส่วนใหญ่คงเข้าใจว่า ทักษิณ-แพทองธาร น่าจะถึงทางตัน และอาจจะเป็นการมีบทบาททางการเมืองของประเทศเป็นครั้งสุดท้ายของตระกูลชินวัตร หากวิเคราะห์จากปมร้อนประเด็นดังทั้งหลายที่ถาโถมเข้าใส่เวลานี้ก็พอจะเข้าเค้าว่ามีความเป็นไปได้สูง แต่ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ยังไงก็ต้องให้พรรคสีแดงเป็นหัวขบวนของอำนาจบริหารอย่างน้อยอีก 1 สมัย จากที่คิดว่าการเผชิญหน้ากับขบวนการนิติสงคราม น่าจะเป็นจุดจบของสองพ่อลูก อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้
กลายเป็นข่าวสะเทือนวงการดงขมิ้น จากจุดเริ่มต้นของอดีตพระเทพวชิราปาโมกข์ หรือเจ้าคุณอาชว์ อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพวรวิหาร กทม. ที่หนีไปลาสิกขาที่หนองคาย แล้วเพ่นข้ามไปยังประเทศลาว ก่อนจะพบว่าเกิดจากคลิปพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับสีกากอล์ฟ ก่อนที่จะสะเทือนเลื่อนลั่น ตามมาด้วยพระชั้นผู้ใหญ่อีกเกือบ 10 รูปทั้งวัดในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่พัวพันกันสีกาคนดัง จนมีเหตุให้ต้องสึกพ้นไปจากผ้าเหลือง
เรื่องนี้ ไม่มีอะไรซับซ้อนเป็นเรื่องของหญิงชั่ว พระโฉด ฟังจากผู้หญิงคนดังว่าเปิดข้อมูล ชัดเจนเป็นความตั้งใจไปหลอก หวังผลเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ส่วนพระเหล่านั้นก็ตัดกิเลสไม่ขาดทั้งที่ครองเพศบรรพชิต เป็นถึงพระชั้นผู้ใหญ่แต่ยังใฝ่ในกามารมณ์ จึงหมกหมุ่น มัวเมา ใช้เงินทองที่ได้มาจากการทำบุญของประชาชนไปปรนเปรอให้กับหญิงเลว ถามว่าทำให้คนเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนาหรือไม่ คนพวกนี้คือส่วนน้อย พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยังมีอีกเยอะ พุทธศาสนิกชนควรช่วยกันทำนุบำรุงต่อไป
อรชุน