
พาราสาวะถี
ยุ่งยิ่งกว่าลิงแก้แหกันเลยทีนี้ พลันที่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงพรรคสีส้มจะโหวตให้ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็น นายกรัฐมนตรีคนที่ 32
ยุ่งยิ่งกว่าลิงแก้แหกันเลยทีนี้ พลันที่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงพรรคสีส้มจะโหวตให้ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็น นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ซีกเพื่อไทยก็ยืนยัน ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกฯ ได้นำพระราชกฤษฎีกายุบสภาขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว ตรงนี้แม้จะมีข้อถกเถียงกันว่านายกฯ รักษาการสามารถยุบสภาได้หรือไม่ ซึ่งกรณีนี้ต้องแยกเป็น 2 ประเด็นคือ หลักการตามรัฐธรรมนูญ กับ ความเหมาะสมว่าควรจะยุบสภาในจังหวะที่กำลังจะมีการโหวตเลือกนายกฯ หรือไม่
เรื่องการยุบสภานั้น คำอธิบายของ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกชัด รัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติไว้ในมาตรา 103 ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป” โดยการยุบสภา “ให้กระทําโดยพระราชกฤษฎีกา” ทั้งนี้ มาตรา 103 มิได้บัญญัติไว้ว่าใครเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ หรือใครจะเป็นผู้ทูลเกล้าฯ
ในเรื่องการตราพระราชกฤษฎีกานั้น มาตรา 175 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจในการตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย” ทั้งนี้ มาตรา 175 อยู่ในหมวดคณะรัฐมนตรี จึงเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีในการทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาให้ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี อำนาจในการทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาจึงเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีนั่นเอง ที่รัฐธรรมนูญห้ามยุบสภาไว้มีเพียงเมื่อมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว ตามมาตรา 151 วรรคสอง และ การยุบสภาทำได้ครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน ตามมาตรา 103 วรรคสอง
นั่นหมายความว่า การยุบสภาในขณะนี้จึงไม่มีบทบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญห้ามไว้ ส่วนประเด็นว่าผู้ที่ดำเนินการขณะนี้ เป็นรักษาการนายกฯ จะทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาให้ทรงยุบสภาได้หรือไม่ มาตรา 182 บัญญัติว่า “…พระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ” มาตรานี้อยู่ในหมวดคณะรัฐมนตรี จึงเป็นอำนาจนายกฯ ที่จะทูลเกล้าฯ
เมื่อทรงโปรดเกล้าฯ นายกฯ ก็จะเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และเป็นผู้รับผิดชอบต่อการยุบสภานั้น ตามหลัก The King Can Do No Wrong หรือพระมหากษัตริย์ไม่อาจทรงกระทำผิด เพราะคนรับผิดชอบคือนายกฯ ที่ทูลเกล้าฯ และลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ประเด็นสำคัญคือมาตรา 182 ใช้คำว่ารัฐมนตรี มิได้ใช้คำว่านายกฯ อีกทั้งรัฐธรรมนูญก็มิได้มีการบัญญัติเรื่องนี้ไว้ที่ใดเป็นอย่างอื่น รัฐมนตรีที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกฯ จึงมีอำนาจในการทูลเกล้าฯ พระราชกฎษฎีกาให้ทรงยุบสภาได้
คำถามที่คนทั่วไปสงสัยก็คือ หากรักษาการนายกฯ ทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาให้ทรงยุบสภา พระมหากษัตริย์ทรงต้องโปรดเกล้าฯ หรือไม่ เรื่องนี้รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้ แต่ไม่เคยเกิดปัญหานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีรักษาการนายกฯ ทูลเกล้าฯ ให้ทรงโปรดเกล้าฯ ยุบสภาในขณะที่สภากำลังเลือกนายกฯ คนใหม่ เป็นเรื่องที่ยังไม่เคยเกิด ก็ต้องไปถึงประเด็นที่บอกไว้ก่อนหน้าว่า รัฐบาลรักษาการที่เพื่อไทยเป็นแกนนำโดยบิ๊กอ้วนควรหรือไม่ที่จะยุบสภาในเวลานี้
ถ้าตอบในเชิงหลักการก็ต้องบอกว่าไม่สมควร เพราะสภาฯ กำลังจะเลือกนายกฯ ใหม่ ต้องให้กระบวนการได้ดำเนินการไปก่อน หากมีปัญหาเลือกกันไม่ได้ค่อยเดินเรื่องยุบสภา ตามหลักการควรเป็นเช่นนั้น แต่ถ้ายึดตามวิถีการเมือง เพื่อไทยต้องตัดสินใจเช่นนี้เพราะไม่ต้องการให้อนุทินเป็นนายกฯ และภูมิใจไทยเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล คำถามที่จะตามมาคือ ทำไมจึงไม่ตัดสินใจเดินหน้ายุบสภาตั้งแต่แรก จะมาตั้งท่าต่อรองเพื่อหวังอยู่ในอำนาจต่ออีกทำไม การทำเช่นนี้อาจจะเสียมากกว่าได้
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาไปยังเงื่อนไขของพรรคส้มในข้อ 4 ที่บังคับให้เสี่ยหนูต้องลงนามในบันทึกที่ทำร่วมกันไว้เป็นคำมั่นสัญญา นั่นก็คือ ภูมิใจไทยต้องไปเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และต้องไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อให้ตนเองเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ถามว่าบ้านเมืองมันจะเดินไปด้วยความมั่นคง มีเสถียรภาพอย่างนั้นหรือ ก็เป็นเหตุสมควรที่เพื่อไทยจะเลือกแนวทางในการคืนอำนาจให้ประชาชน
แต่งานนี้ คงไม่ต้องรอกระบวนการตีความอะไรให้ยุ่งยาก ชัดเจนว่า ประธานสภาคงต้องเดินหน้ากระบวนการเลือกนายกฯ ได้ทันที หลังมีข่าว สำนักองคมนตรี ตีกลับร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภา โดยยกเหตุไม่เป็นไปตามระเบียบการนำเสนอ เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีปัญหาข้อขัดแย้งว่ากระทำได้หรือไม่ ประกอบกับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาที่แย้งว่ารักษาการนายกฯ ไร้อำนาจ เป็นอันว่าตั้งรัฐบาลเสียงข้างคงจะเกิดขึ้นในเร็ววัน และคงจะได้เห็นอะไรดีดีทางการเมืองที่ไม่เคยเห็นกันอีกเยอะ
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าเงื่อนเวลาที่ตกผลึกว่าด้วยรัฐบาล 4 เดือนนั้น ไม่ใช่แค่ความพึงพอใจของพรรคสีส้มในฐานะผู้เสนอเท่านั้น หากแต่น่าจะผ่านความเห็นชอบของฝ่ายที่หนุนหลังให้อนุทินนำคณะมาเป็นรัฐบาลแล้ว เพื่อเป็นการการันตีในสิ่งที่แกนนำพรรคฝ่ายค้านกังวัลคือการรัฐประหาร ทั้งหมดจึงเป็นการตระเตรียมกันมาตั้งแต่ก่อนวันชี้ชะตา แพทองธาร ชินวัตร แล้ว นี่จึงเรื่องที่สส.เพื่อไทยตอกย้ำกับนายใหญ่ “โดนคนหลอกตลอด” ในวันที่ ทักษิณ ชินวัตร ยอมรับไว้วางใจ ธรรมนัส พรหมเผ่า มากเกินไป บอกไว้เลยว่าลับ ลวง พรางไม่มีวันตาย
อรชุน