
พาราสาวะถี
ฉลองวันเกิดครบรอบ 59 ปีชื่นมื่น ถือเป็นปีทองของ อนุทิน ชาญวีรกูล บรรยากาศที่พรรคภูมิใจไทยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
ฉลองวันเกิดครบรอบ 59 ปีชื่นมื่น ถือเป็นปีทองของ อนุทิน ชาญวีรกูล บรรยากาศที่พรรคภูมิใจไทยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ทั้งบรรดาคนที่เข้าไปอวยพรวันคล้ายวันเกิด และรัฐมนตรีคนนอกเข้าไปร่วมหารือ วางแนวทางเตรียมการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา คนที่แสดงตัว เปิดเผยกันชัดเจน คือ ผู้ที่ไร้ปัญหาคุณสมบัติ ส่วนที่ยังแทงกั๊กเปิดเผยกันไม่ได้ แม้กระแสข่าวค่อนข้างจะชัวร์ว่ามาแน่ แต่ต้องรอให้กระบวนการตรวจสอบเสร็จสิ้นก่อน
เกือบเอาเสียขบวนไปเหมือนกันกรณี พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าที่เจ้ากระทรวงคนใหม่ ผลพวงจากการแถลงหลังการประชุมจีบีซีเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ปมประเทศที่ 3 ขอร้องให้เปิดด่านไปยังกัมพูชา พร้อมบอกว่า จะพิจารณาเปิดในจุดที่ไม่มีปัญหา คือ จันทบุรีกับตราด จนถูกทัวร์ลงยับ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของหลายฝ่าย ที่แข็งขันที่สุดคงเป็นทางด้านกองทัพ งานนี้เสี่ยหนูต้องแก้ข่าวด้วยตัวเอง
ยืนยันบิ๊กเล็กไม่ได้สื่อสารแบบนั้น การจะเปิดได้หรือไม่ ต้องประเมินท่าที ความจริงใจของฝ่ายเขมรก่อน หากข้อตกลงที่ลงนามร่วมกันจากการประชุมจีบีซี ไม่มีความคืบหน้า หรือทำให้เห็นว่าตั้งใจที่จะคลี่คลายสถานการณ์ แรงกดดันที่บอกว่ามาจากประเทศที่สามก็ไม่เป็นผลต่อการที่ฝ่ายความมั่นคงจะยอมเปิดด่านให้ ขณะที่รัฐมนตรีช่วยกลาโหมก็ยืนยัน การตัดสินใจเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของกองทัพประเมินร่วมกับฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายบริหารไม่ไปยุ่งเกี่ยวเด็ดขาด
เข้าใจตรงกันตามนี้ ที่แน่ ๆ กระทรวงกลาโหมไม่ได้มีแค่คนเดียว ยืนยันจากปากอนุทินเองว่าจะมีรัฐมนตรีช่วยว่าแบ่งเบาภาระงานของบิ๊กเล็ก ไม่ใช่ใครอื่นไกลเป็น พลโทอดุลย์ บุญธรรมเจริญ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 คอนเน็คชั่นทางการเมืองไม่ธรรมดาฐานะเพื่อนร่วมรุ่น วปอ.61 ของเสี่ยหนู ส่วนสายสัมพันธ์ทางกองทัพคืออดีตนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 26 จปร.รุ่น 37 เพื่อนร่วมรุ่น พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. “บิ๊กกุ้ง” พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และ พลตรีวีระยุทธ์ รักศิลป์ ว่าที่แม่ทัพภาค2 นั่นเอง
เรียกได้ว่า ความสัมพันธ์แน่นปึ้กทั้งกองทัพและการเมือง จึงทำให้การประสานงานไร้รอยต่อ ที่สำคัญพื้นที่ชายแดนที่เป็นปัญหากับเขมร ฐานะที่เคยเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 มาก่อน ย่อมมองเห็นสภาพปัญหา และแนวทางที่จะแก้ไขได้ดีกว่าใคร ความจริงอย่างที่เคยบอกไป ก่อนจะเข้ามาเป็นนายกฯ ของอนุทินนั้น เงื่อนไขเป็นรัฐบาล 4 เดือน ไม่ได้ตกผลึกร่วมกันระหว่างพรรคการเมืองเท่านั้น หากแต่ ฝ่ายที่มีอำนาจสามารถโค่นล้มการเมืองทั้งระบบก็รับรู้และสนับสนุน ด้วยเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ แทบจะไม่ต้องคาดเดาก็รับรู้กันได้ว่า การมาเป็นผู้นำรัฐบาล และพรรคสีน้ำเงินเป็นแกนนำนั้น มีแรงหนุนมาจากไหน เหล่าชนชั้นอีลิททั้งหลายคงรับรู้กันอยู่แล้วว่าด้วยเหตุใด ความยากจึงไม่ใช่เรื่องจะทำตามสัญญาที่ตกลงไว้กับพรรคประชาชนหรือไม่ แต่มองกันไปถึงเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าจะให้อนุทินกลับมาเป็นนายกฯ ยืนระยะกันยาว ๆ จะต้องวางเป้าหมาย และช่วยกันขับเคลื่อนกันอย่างไร วันนี้ไม่ใช่ภาระของรัฐบาลพลิกขั้ว หรือสิ่งที่เคยดีลกันมาก่อนหน้า
ด้วยเหตุที่ว่า บริบทส่วนตัวของเสี่ยหนูที่เปลี่ยนไป ทำให้ถนนทุกสายต่างพร้อมใจกันไปสวามิภักดิ์ นั่นหมายความว่า หากต้องการจะกลับมาเป็นผู้นำที่สง่างาม ภายใต้การผลักดันของอำนาจที่ล้นเหลือ พรรคสีน้ำเงินจะต้องเบียดแย่งแซงพรรคเพื่อไทย ขึ้นมาเป็นพรรคอันดับสองให้ได้ หากยังเป็นเหมือนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ย่อมหมดโอกาสไปโดยปริยาย อยู่ที่ว่าอำนาจที่ได้มาเวลานี้จะบริหารจัดการอย่างไร หากใช้ไปในลักษณะหลงหรือเหลิง มันก็มีจังหวะที่จะทำให้สะดุดขาตัวเองได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่านาทีนี้ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอยู่ในจังหวะที่คึกกันสุดขีด เพราะเหมือนการค้นพบความลงตัวของอำนาจ ทั้งฝ่ายบริหารที่ได้รับการสนับสนุนด้วยพลังวิเศษอย่างไม่เคยมีมาก่อน ผนวกเข้ากับอำนาจของฝ่ายกองทัพที่บรรดาผู้นำในแต่ละขุมกำลังล้วนได้ขยับเป็นใหญ่ ส่วนมากมาจากรุ่นเดียวกัน ซึ่งมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับฝ่ายที่กำลังจะเข้ามากุมอำนาจบริหาร ทุกอย่างมันจึงดูสวยงาม และ เป็นความหวังว่าจะสามารถต่อยอดไปถึงการรักษาอำนาจ ตามความประสงค์ที่จะสกัดกั้นพรรคสุดโต่งไม่ให้ก้าวเข้าสู่อำนาจบริหารได้ด้วย
ผลสะเทือนจากการขยับของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในรอบนี้ ยังมีไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วย จากการไขก๊อกเก้าอี้หัวหน้าพรรคแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของ เฉลิมชัย ศรีอ่อน แม้จะมีการอ้างว่าเพื่อต้องการเวลาไปดูแลสุขภาพ แต่ให้จับตาดูก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไป ทีมงานของเสี่ยต่อยังคงทำงานกับพรรคเก่าแก่หรือไม่ เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จึงเป็นโอกาสที่เหล่าผู้อาวุโส ผู้มากบารมีของพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผมจะได้ซ่อมสร้างทำให้พรรคกลับไปยืนอยู่ในจุดที่ควรจะเป็น
เริ่มมีการพูดถึงการดึงเอา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นผู้นำพรรคอีกกระทอก แม้จะบอบซ้ำจากการเมืองนับตั้งแต่รัฐบาลในค่ายทหารเรื่อยมา กระทั่งได้ลาออกจากความเป็นสมาชิกพรรคไปหลังเฉลิมชัยขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ถ้ามองบริบททางการเมือง ณ ปัจจุบัน หากผู้ชี้ทิศทางต้องการที่จะให้พรรคสีน้ำเงินเป็นผู้นำ การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของพรรคเก่าแก่จึงถือว่าเหมาะสม แต่สิ่งหนึ่งซึ่งผู้มากบารมีของพรรคต้องยอมรับให้ได้ก่อนนั่นก็คือ ในอนาคตต้องร่วมงานกับเพื่อไทยด้วยความเต็มใจ เพราะ กลไกการเมืองมรดกของเผด็จการสืบทอดอำนาจมันถูกสร้างไว้แบบนี้ เว้นแต่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ
อรชุน