
พาราสาวะถี
สวนทางกันกับสำนักโพลที่บอกว่าคะแนนนิยมของเพื่อไทยตกต่ำเป็นรองแม้กระทั่งภูมิใจไทย กับผลการเลือกตั้งซ่อมสส.เขต 7 เชียงราย
สวนทางกันกับสำนักโพลที่บอกว่าคะแนนนิยมของเพื่อไทยตกต่ำเป็นรองแม้กระทั่งภูมิใจไทย กับผลการเลือกตั้งซ่อมสส.เขต 7 เชียงราย ซึ่ง สง่า พรมเมือง ผู้สมัครของพรรคสีแดง เอาชนะ สุทัศน์ ยาละ ผู้สมัครจากพรรคประชาชนขาดลอย เป็นเพียงแค่เขตเลือกตั้งเดียวอาจไม่สามารถชี้วัดอะไรได้ ที่สำคัญคือนี่เป็นฐานเสียงอันแข็งแกร่งของพรรคนายใหญ่ เนื่องจาก พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน คือผู้ครองเก้าอี้ สส. เขตนี้มายาวนานถึง 5 สมัย ใครก็ล้มยาก หากมองอีกมุมกระแสพรรคส้มที่เชียงรายก่อนหน้านี้ก็แรงอยู่ไม่น้อย หรือว่านี่ เป็นสัญญาณเตือน ไปถึงการตัดสินใจหนุน อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี
ยังเหลือสนามเลือกตั้งซ่อมเขต 5 ศรีสะเกษ ที่เพื่อไทยเคยเป็นเจ้าของพื้นที่ ซึ่งจะมีการหย่อนบัตรในวันที่ 28 กันยายนนี้ สนามนี้ถือเป็นการวัดกันระหว่างพรรคนายใหญ่กับภูมิใจไทย โอกาสที่จะเสียเก้าอี้นั้นมีอยู่ไม่น้อย ทั้งจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา อำนาจรัฐที่เปลี่ยนมือ ถือว่าพรรคสีน้ำเงินได้เปรียบมากกว่า อาจเรียกได้ว่า ทีใครทีมัน การได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศทำให้เสี่ยหนูมีความเชื่อมั่นจะสามารถปักธง สส.ในภาคอีสานได้เพิ่มขึ้น
มาถึงตรงนี้ ด้วยความที่เพื่อไทยเกิดอาการขวัญผวาจากกรณี ทักษิณ ชินวัตร ต้องเดินเข้าเรือนจำ ทำให้เหล่าแกนนำต้องประเมินสถานการณ์กันอย่างละเอียดยิบ หาก สส.ปัจจุบันยังอยู่กันครบ และจับมือกันแน่นไปจนถึงเลือกตั้งครั้งหน้า ปัญหาก็จะไม่เกิด แต่เริ่มพบว่ามีบางกลุ่ม บางก๊วนกำลังวิเคราะห์อนาคต โดยมองไปที่พลังอำนาจของเสี่ยหนู ไม่ใช่เพียงแค่ตัวแทนของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ได้รับการเลือกแล้วเท่านั้น หากแต่มีสถานะที่ได้รับการการันตีที่แข็งแกร่งขึ้นกว่านั้น
สะท้อนผ่านการตั้งรัฐมนตรีคนนอกที่ บรรดาชนชั้นนำทั้งหลาย ต่างพร้อมใจให้ความร่วมมือ สนับสนุนอย่างเต็มที่ ไม่เพียงเท่านั้น เหล่าผู้บริหารของภาคเอกชนที่มีชื่อเสียงทั้งหลายต่างก็วิ่งเข้าหา เพื่อต้องการยกระดับความสัมพันธ์ที่เคยมีให้แน่นแฟ้น ซึ่งนั่นหมายถึงความพร้อมที่จะเป็นแรงผลักดัน เติมกระสุนให้กับพรรคสีน้ำเงินในการเลือกตั้งครั้งต่อไปอย่างเต็มที่ ประสานผู้รู้ซึ่งจะว่าไปในแวดวงสังคมชั้นสูงต่างก็รู้และเข้าใจกันเป็นอย่างดี
มุมมองของเหล่านักวิชาการ อดีตนักการเมือง และนักการเมืองปัจจุบันที่คาดหมายว่า เพื่อไทยอยู่ในภาวะขาลง จึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่อย่างใด เพราะภายในพรรคเอง นอกเหนือจากการประเมินคู่แข่ง มองความเป็นไปของการเมืองภายใต้การนำของรัฐบาลเสียงข้างน้อยแต่มีพลังแล้ว แกนนำกลุ่ม มุ้งต่าง ๆ ยัง แสดงความกังขาต่อข้อผิดพลาดทางการเมืองของทักษิณ ที่ทุกครั้งจะพบจุดจบแบบไม่น่าเกิด ทำให้ต้องคิดหนัก จากที่ไม่เคยคิดจะย้ายสังกัด เปลี่ยนสีเสื้อ หนนี้อาจจำเป็นต้องจำใจจาก
ช้าก่อน การปรากฎตัวของ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ที่เข้าเยี่ยมนายใหญ่ในเรือนจำคลองเปรมวานนี้ พร้อม แพทองธาร ชินวัตร และ พิณทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ น่าจะเป็นภาพที่ทำสมาชิกและ สส.พรรคเพื่อไทยที่มองถึงความไม่แน่นอน ต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ จะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่พรรคมีปัญหา นายหญิงคือคนที่การันตี สร้างความเชื่อมั่นให้กับเหล่าลิ่วล้อ แม้จะไม่ได้กลับมาเป็นแกนนำ อย่างน้อยก็สามารถยืนยันได้ว่าไม่หลุดจากวงโคจรของการเกาะขบวนแห่งอำนาจเป็นแน่
เป็นความลำบากใจของผู้สนับสนุนหลัก เมื่อให้โอกาสทักษิณกลับมาแล้วสร้างผลงานไม่ได้ ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของพวกอนุรักษ์นิยม การหันมาใช้บริการของเสี่ยหนูจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำ ประกอบกับฐานะใหม่ที่เป็นภาคบังคับ จึงทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะสามารถค้ำยันให้กลุ่มอำนาจเก่า สามารถมีที่ยืนได้ต่อไป อย่างน้อยก็คงจะสกัดกั้นพวกสุดโต่งในการเข้ายึดกุมอำนาจบริหารได้ แต่กระบวนการที่ดำเนินไปก็ไม่อาจจะปล่อยมือหรือหันหลังให้กับนายใหญ่และเครือข่ายได้
ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เฉพาะหน้าว่าด้วยรัฐบาล 4 เดือน อนุทินไม่มีเวลาฮันนีมูน แค่ปมปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ก็เป็นของร้อนที่ทำให้ต้องชี้แจงกันจ้าละหวั่น ยังไม่ทันได้ทำงาน ครม.ยังตั้งไม่เสร็จก็มีเผือกร้อนโยนมาใส่มือแล้ว กับประเด็นข้อตกลงจากเวทีจีบีซีที่มีเงื่อนไขจากฝั่งเขมรขอให้เปิดด่านผ่านแดนบางจุด อ้างประเทศที่สามขอร้องมา จนสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายความมั่นคง ล่าสุดทาง ญี่ปุ่นที่ถูกระบุว่าเป็นประเทศที่ร้องขอดังกล่าวยืนยันว่าไม่เป็นความจริง
เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลต่อเรื่องที่เกิดขึ้น จะบอกว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลรักษาการก็เป็นการติ๊ดชึ่งที่ดูง่ายไปหน่อย ต้องไม่ลืมก่อนไปประชุม พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เข้าพบเสี่ยหนูเพื่อรับนโยบายกันก่อน ถือเป็นความคาบเกี่ยวและชวนสงสัย แต่เมื่อนายกฯ คนใหม่ย้ำว่า จะไม่มีการเปิดด่านใด ๆ ทั้งสิ้น การตัดสินใจทั้งหมดต้องฟังกองทัพและฝ่ายความมั่นคง เรื่องนี้จึงยังต้องจับตาดูกันต่อไป
ขณะเดียวกันเรื่องใหญ่ที่ฝ่ายยกมือหนุนให้เสี่ยหนูนั่งนายกฯ รอกดดันให้เดินหน้าทันทีหลังมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา นั่นก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะจะถือ เป็นจุดเริ่มต้นของบทพิสูจน์ว่าสัญญา 4 เดือนที่ได้ตกลงกันไว้จะทำได้จริงหรือไม่ ด้วยกระแสของพรรคสีส้มที่เริ่มพบว่า กองเชียร์บางส่วนไม่แฮปปี้กับการตัดสินใจครั้งนี้ จึงต้องอาศัยจังหวะแบบนี้ในการรุกไล่เพื่อให้กลับมายืนอยู่ในจุดที่กระแสไม่ลดลงไปจากเดิม การเมืองยังเป็นเรื่องที่ฝ่ายกุมอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนยังต้องเร่งรักษาเสถียรภาพ ปัญหาปากท้องของประชาชนก็สำคัญแต่น้อยกว่าเรื่องของพรรคพวกและตัวเอง
อรชุน