พาราสาวะถี

ยืนยันจากปากของ อนุทิน ชาญวีรกูล รายชื่อ ครม.หนู 1 อยู่ในช่วงเวลา “รอ” เพราะได้มีการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว


ยืนยันจากปากของ อนุทิน ชาญวีรกูล รายชื่อ ครม.หนู 1 อยู่ในช่วงเวลา “รอ” เพราะได้มีการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว ส่วนโฉมหน้าของเสนาบดีร่วมรัฐบาล 4 เดือนตามที่ปรากฏหน้าสื่อก็เป็นไปตามหน้าเสื่อที่มีการคาดเดากันไว้ก่อนหน้า อาจมีบางคนที่เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคเอกชน ขณะที่ในสัดส่วนของพรรคภูมิใจไทย ก็มีการโยกในบางรายเข้าใจได้ว่า เพื่อการเสริมความแข็งแกร่งให้กับบรรดาแกนนำในพื้นที่เป้าหมายเลือกตั้งของพรรค

กระบวนการหลังจากนี้เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงมา หลังจากนั้นเสี่ยหนูก็จะนำ ครม.เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับตำแหน่ง แล้วจึงจะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก่อนเริ่มทำงานอย่างเป็นทางการ ดูจากการขับเคลื่อนของอนุทินแล้วคงต้องเร่งสร้างผลงานอย่างเต็มที่ ไม่มีเวลาฮันนีมูน ในเมื่อเงื่อนไขตามข้อตกลงคือ 4 เดือนต้องยุบสภา เพื่อเข้าสู่แนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเลือกตั้งใหม่ ดังนั้น การทำนโยบายให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ย่อมส่งผลดีมีกระแสคู่ขนานกันไปถ้าไม่เกิดการเบี้ยวกันขึ้นมา

โดยบรรยากาศทางการเมือง หากมองไปยังต้นตอของการเกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย การขานรับกันของฟากอนุรักษ์นิยม แทบจะเป็นการชี้ทิศทางไปในตัวว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่า หาคนที่ไว้ใจมาบริหารบ้านเมือง อย่างน้อยก็เพื่อให้ประคองตัวไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน หรือเปิดช่องให้ฝ่ายสุดโต่งได้เข้ามาข้องแวะกับอำนาจบริหาร ระหว่างนี้เป็นเรื่องที่พรรคซึ่งคิดว่าจะเข้าร่วมแนวทางสกัดกั้นตามแผนที่เคยดีลกันไว้คราวรัฐบาลพลิกขั้ว ต้องไปจัดทัพจัดแถวกันให้พร้อม

ปีกอนุรักษ์นิยมของแท้ทั้งประชาธิปัตย์และรวมไทยสร้างชาติ เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ย่อมเป็นตัวบ่งชี้ว่านี่คือ การขยับเพื่อปรับองคาพยพให้ดูดีขึ้น สำหรับเรียกคะแนนเสียงจากฝ่ายหนุนกลุ่มอำนาจเก่า หลังจากที่แตกกระสานซ่านเซ็นไปจากการเลือกตั้งสองครั้งที่ผ่านมา โดยบางส่วนหันหลังให้แบบสุดขั้วด้วยการไปหนุนพรรคสีส้ม ด้วยความคาดหวังจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงบางประการตรงตามความต้องการของตัวเองที่ไม่ชอบในสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ

พอเห็นการปรับตัวของฝ่ายอนุรักษ์นิยมผ่านการขึ้นเป็นนายกฯ ของเสี่ยหนูแล้ว จึงทำให้ตีจากพรรคสุดโต่งที่หันไปสนับสนุนเป็นการชั่วคราว ทีนี้ก็เหลือประเด็นการตัดสินใจว่า จะไปเชียร์พรรคไหน ภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ หรือประชาธิปัตย์ กรณีอดีตพรรคที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเคยเป็นแคนดิเดตนายกฯ อยู่นั้น ชัดเจนแล้วว่า สส.และสมาชิกส่วนใหญ่เลือกที่จะไหลลงรูพรรคสีน้ำเงิน ส่วน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค คงถึงเวลาที่ต้องวางมือเสียที

ขณะที่พรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผม อ่านสัญญาณที่ส่งมาจาก ชัยชนะ เดชเดโช ต่อการทอดไมตรีต้องการให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมานำพรรคเหมือนเดิม เท่ากับเป็นการส่งซิกการถอยของทีมงาน “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตหัวหน้าพรรค นั่นหมายความว่า อุปสรรคในแง่ของคะแนนสนับสนุนตามข้อบังคับพรรคที่ฝ่ายถือหางอภิสิทธิ์กังวลก็จะหมดไป ที่เหลือจะเป็นเรื่องของผู้นำคนใหม่ ในการดึงดูดคนเก่าที่เคยร่วมงานกันให้กลับมาบ้านหลังเดิมได้หรือไม่ เช่นเดียวกับการสร้างคนรุ่นใหม่ให้ขึ้นมามีบทบาทในพรรคด้วย

ด้านเพื่อไทยไม่ได้เหนือความคาดหมาย กับการประชุมพรรคเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บรรดาสมาชิกต่างปรบมือให้กำลังใจ แพทองธาร ชินวัตร กึกก้อง แต่ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การปรากฏตัวของ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ นายหญิงที่เคยบอกไว้ก่อนหน้าว่านี่คือผู้ที่จะการันตีว่า ทักษิณ ชินวัตร ยังจะสู้ต่อทางการเมืองหรือไม่ ซึ่งการพูดเพียงสั้น ๆ กับสมาชิกพรรคของคุณหญิงต่อว่า “สู้ๆ นะคะ” ท่ามกลาง สส.ที่ยืนขึ้นปรบมือทั้งห้องประชุม นั่นเป็นเครื่องหมายยืนยันว่า ตระกูลชินวัตรยังคงเดินหน้าต่อไปในสนามเลือกตั้ง

การต่อสู้แทบจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมยังคงเป็น การเมือง 3 ก๊ก สีแดง ส้ม น้ำเงิน เพียงแต่หนนี้จะต่างออกไปจากการเลือกตั้งครั้งก่อน ที่เวลานั้นมีผลจากการอยู่ในอำนาจของขบวนการอยู่ยาวมาเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้มีสิทธิ์หย่อนบัตรตัดสินใจกันได้ง่ายขึ้น ครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้กันระหว่าง พรรคตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เด่นชัดถือธงนำโดยภูมิใจไทย ซึ่งในสนามแข่งขันไม่มีใครรู้ว่าเสี่ยหนูจะถูกคู่แข่งหยิบยกเอาเรื่องเบื้องหลังมาทำให้เสียหายต่อฐานสนับสนุนหรือไม่ แต่หากมองว่าฐานกลุ่มอำนาจเก่ามั่นใจในแนวทางนี้ก็จะทำให้เสียงในส่วนนี้ดีขึ้น

ฝ่ายพรรคสีส้มผลพวงจากการยกมือหนุนอนุทิน หากยึดเอาผลการเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 7 เชียงรายมาเป็นบทเรียนจะเห็นได้ว่า เสียงหายไปกว่าหมื่นคะแนนแล้วไปโผล่หนุนเพื่อไทยจะด้วยแรงสงสารนายใหญ่หรืออะไรก็ตามแต่ ช่วงเวลาหลังจากรัฐบาล 4 เดือนได้แถลงนโยบายไปแล้ว จะเป็นบทพิสูจน์หลักการ แนวทาง และวิธีการของพรรคประชาชนยังคงเข้มข้นเหมือนเดิมหรือไม่ ส่วนเพื่อไทยกับการกลับไปเป็นฝ่ายค้านก็เป็นจังหวะที่จะได้ทบทวนท่าที และกระบวนการเดินทางการเมืองกันให้รอบคอบ รัดกุมยิ่งขึ้น

ถึงตรงนี้ ยังไม่มีใครบอกได้ว่าก๊กไหนจะกุมความได้เปรียบ สีน้ำเงินดูดีกว่าหน่อยตรงที่เป็นฝ่ายกุมอำนาจ ระหว่างทางแม้จะมีผนังทองแดงกำแพงเหล็กคอยค้ำยัน แต่ไม่ได้เป็นเครื่องหมายว่าจะทำให้ทุกอย่างสวยหรู ดูมีอนาคต ทั้งหมดจะต้องพิสูจน์ผ่านการทำงานเมื่อได้อำนาจมาอยู่ในมือแล้ว หากใช้ไปเพื่อปกป้องและแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง อำนาจที่ไม่ว่าจะมีพลังวิเศษขนาดไหนก็ไม่สามารถคุ้มกะลาหัวได้

อรชุน

Back to top button