พาราสาวะถี

เชื่อกันหรือไม่กับคำยืนยันของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีที่บอกว่ารายชื่อ ครม.ที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ไม่มีปัญหาอะไร


เชื่อกันหรือไม่กับคำยืนยันของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีที่บอกว่ารายชื่อ ครม.ที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ไม่มีปัญหาอะไร หากเป็นรัฐมนตรีคนนอกโดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ที่เสี่ยหนูกระเตงไปพบกับบรรดาภาคเอกชนทั้งหลายคงไม่ติดขัดอะไร แต่โควต้าของพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลต่างหากที่เกิดเครื่องหมายคำถาม ต้องอย่าลืมว่ามีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกฯ มาตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน ผ่านมาสิบกว่าวันแล้วรัฐบาลยังไม่เริ่มตั้งไข่ หากเลือกใช้บริการคนที่ไม่มีประวัติด่างพร้อย ทุกอย่างก็ควรจะจบได้เร็วกว่านี้

เวลาที่ยืดเยื้อบอกแล้วว่า มันชวนให้เกิดความเคลือบแคลงจากคนส่วนใหญ่ ในเมื่อเป็นรัฐบาล 4 เดือน รู้กันอยู่ว่าอายุสั้น บรรดาเสือหิวทั้งหลายหรือใครที่อยากจะเป็นเสนาบดีจนตัวสั่น แต่ตัวเองมีปัญหาคุณสมบัติ ก็ไม่ควรรีบร้อน งานนี้เสี่ยหนูที่ดูยิ้มแย้มแจ่มใส ข้างในใครจะรู้หน้าชื่นอกตรมหรือไม่ การจะยัดไส้เพื่อต่างตอบแทนกันทางการเมือง ฝ่ายที่ตรวจสอบคุณสมบัติคงยากที่จะปล่อยผ่านไปได้ รัฐบาลก่อนหน้าทำให้เห็นมาแล้ว ขนาดคัดกรองกันอย่างดี สุดท้ายยังไปไม่รอด แม้จะไม่ได้เกิดมาจากปัญหารัฐมนตรีในรัฐบาลก็ตาม

นั่นเป็นปัญหาที่คนเป็นนายกฯ พร้อมจะรับแรงกระแทกอยู่แล้ว ยิ่งนาทีนี้เชื่อมั่นในพลังวิเศษที่ให้การสนับสนุน จึงออกอาการเหมือนไม่ได้หวั่นไหว หรือยี่หระต่อเสียงทักท้วงใดๆ ท้ายที่สุดก็มีการมอบหมายให้มือกฎหมายของพรรคภูมิใจไทย ร่วมตรวจสอบกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้กลายเป็นบ่วงรัดคอ ทำตกม้าตายในอนาคต ยิ่งอยู่ในภาวะเนื้อหอมบรรดานักเลือกตั้งจากพรรคต่าง พากันหอบหิ้วลิ่วล้อ ลูกหลานมาพึ่งบารมี ย่อมใจฟู และฮึกเหิมเป็นธรรมดา

ในความยินดีปรีดาของพลพรรคสีน้ำเงิน ก็เกิดคำถามตัวโตย้อนกลับไปยัง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ความเคลื่อนไหวกันเอิกเกริกขนาดนี้ ถือเป็นการละเมิดอีกหนึ่งข้อตกลงหรือ MOA ที่อนุทินได้ทำไว้หรือไม่ เพราะนี่ถือเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนในการดึงเอา สส.ต่างพรรคมาร่วมงาน ขัดกับเงื่อนไขที่ว่า ต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยและไม่แสดงออกถึงความพยายามในการเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ดูอาการแล้วน่าจะอยู่ในภาวะน้ำท่วมปาก

จากข้อตกลง 5 ประการ ถึงตอนนี้เท่ากับว่าเรื่องตั้ง ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญ มีอันต้องพับไปโดยปริยาย ตรงนั้นยังพออธิบายได้ด้วยเหตุผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่กรณีการดึง สส.ของพรรคการเมืองต่าง ๆ มาร่วมงานกับพรรคสีน้ำเงินนั้น จะบอกว่าไม่ได้ละเมิดเงื่อนไขที่ทำกันไว้ คงจะมีแค่คำปฏิเสธอย่างเดียวเหมือนเพลงลูกทุ่งในอดีต “ฉันเปล่านาเขามาเอง” หากบอกปัดหน้าตาเฉยแบบนี้ ต้องถามกับเหล่าสมาชิกและกองเชียร์พรรคสีส้มว่า รู้สึกดีหรือไม่ ที่เป็นนั่งร้านให้รัฐบาลสีน้ำเงิน

นอกจากนั้น ยังมีเรื่องร้อนว่าด้วยที่ดินเขากระโดง และคดีฮั้วเลือก สว. เห็นกันแล้วว่าหลังจากกลับมามีฤทธิ์เดชของพรรคการเมืองที่สังคมรับรู้ว่ามีความเกี่ยวพันกับทั้งสองกรณี ทั้งสองเรื่องกำลังจะถูกทำให้ไม่มีอะไรเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ทั้งที่ข้อเท็จจริงจากคำตัดสินของศาลที่ถึงที่สุด และกระบวนการตรวจสอบก่อนหน้าของ กกต.มีความชัดเจนในแง่ของขบวนการที่เกี่ยวข้อง ถ้าทั้งสองเรื่องนี้จบโดยสังคมเกิดความกังขา ต้องถามกลับไปยังพรรคสีส้มว่า พอใจกับความเป็นไปในลักษณะนี้อย่างนั้นหรือ

ขณะที่การเมืองยังคงเป็นเรื่องผลประโยชน์ที่ต้องจัดสรรกันให้ลงตัว สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาทางด้านตะวันออก นับตั้งแต่เสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือจีบีซี ว่าด้วยปมเปิดด่านเป็นบางจุด เมื่อฝ่ายรัฐบาลใหม่ตอบรับข้อเรียกร้องของฝ่ายความมั่นคงที่จะไม่ตอบสนองความต้องการของเขมรในเรื่องนี้ ดูท่าว่าอีกฝ่ายได้ พยายามที่จะหาเหตุเพื่อทำให้เกิดเรื่อง อันเป็นวิธีที่ถนัดของ ฮุน เซน ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากการใช้เล่ห์เหลี่ยมก่อนเกิดเหตุปะทะในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคอีสานแต่อย่างใด

นั่นก็คือ การใช้ประชาชนมาเป็นตัวเปิด หนก่อนคือการจัดทัวร์มายังปราสาทตาเมือนธม จนเป็นชนวนให้ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ต้องสั่งปิดปราสาท และนำมาซึ่งการเปิดฉากยิงและสู้รบกันในที่สุด หนนี้ก็เช่นกันพื้นที่จังหวัดสระแก้ว คราวก่อนก็ใช้ประชาชนมารุกล้ำ ยั่วยุทหารที่บ้านหนองจาน จนถูกผลักดันออกไปจากพื้นที่ ล่าสุดหนักข้อขึ้นไปอีกด้วย การใช้โล่มนุษย์ที่มีพระนำมา รื้อรั้วลวดหน้าและทำร้ายเจ้าหน้าที่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว จนตำรวจควบคุมฝูงชนต้องใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยางในการสลายการชุมนุม

ไม่ได้เหนือความคาดหมาย หลังเหตุการณ์ ฮุน มาเนต แจ้นฟ้องผู้นำทั่วโลกในทันทีประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่ไทย ทั้งที่วิธีการดังกล่าวเป็นการใช้ประชาชนมารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยของไทย เป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศต้องชี้แจง และตอบโต้ให้ทันท่วงที ที่น่าสนใจคือ คนเหล่านั้นที่มีทั้งพระ ผู้หญิง ไม่กลัวตายหรืออันตรายเลยหรืออย่างไร หากตามทันวิธีการของเขมรก็จะเข้าใจว่า คนพวกนั้นไม่ใช่ประชาชนโดยทั่วไป

หากเป็นบ้านเราอาจเรียกว่ามวลชนจัดตั้งหรือม็อบรับจ้าง แต่ที่เขมรไม่มีการจ้างแบบนั้น แต่เป็นการสั่งการและถูกฝึกมาในนาม “ทหารบ้าน” เรื่องนี้ ไพศาล พืชมงคล ที่คลุกคลีกับงานด้านความมั่นคงมายาวนาน ชี้ว่า มีทหารนอกประจำการบงการและสนับสนุนอยู่ข้างหลัง และมีทหารหลักควบคุมบังคับบัญชาอีกต่อหนึ่ง ตรงนี้แหละที่ฝ่ายความมั่นคงต้องไม่หลงกล เขมรกำลังใช้ประชาชนทำสงคราม แน่นอนว่ามันเป็นความยากลำบากของฝ่ายไทยที่จะใช้กำลังในการจัดการ แต่หากการข่าวยืนยัน เห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ ก็ไม่มีเหตุที่จะต้องลังเลในการใช้ความเด็ดขาดขจัดภัยคุกคามนั้นให้สิ้นซาก

อรชุน

Back to top button