
‘ธุรกิจบริหารหนี้’ ฝ่าคลื่นลมเศรษฐกิจ
แนวโน้มธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ครึ่งแรกปี บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มียอดจัดเก็บเงินสดรวม 1.38 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24%
เส้นทางนักลงทุน
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้วิเคราะห์ “แนวโน้มธุรกิจบริหารสินทรัพย์” พบว่าครึ่งแรกปี 2568 บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มียอดจัดเก็บเงินสดรวม 1.38 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงปีก่อนหน้า เพราะการชำระหนี้ของลูกหนี้รายใหญ่และการขายสินทรัพย์ขนาดใหญ่ มูลค่า 4.5 พันล้านบาทของผู้ประกอบการหลักในกลุ่มธุรกิจ หากไม่รวมรายการดังกล่าว ยอดจัดเก็บเงินสดโดยรวมหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจซบเซาและการชะลอตัวของการขายทรัพย์สินรอการขาย ผลจากความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย
การลงทุนซื้อหนี้และทรัพย์สินใหม่เพื่อนำมาบริหารชะลอตัวต่อเนื่องจากการปรับลดลงกว่า 58% ในปี 2567 โดยครึ่งแรกปี 2568 มีมูลค่าการซื้อหนี้และทรัพย์สินใหม่เพียง 1.1 พันล้านบาท หดตัวกว่า 85% เทียบปีก่อนหน้า จากสถาบันการเงินชะลอการนำหนี้ด้อยคุณภาพออกมาประมูลขายตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เช่น มาตรการ “การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม” และโครงการ “คุณสู้เราช่วย”
อีกทั้งงบลงทุนยังลดลงจากยอดจัดเก็บเงินสดชะลอตัว รวมถึงความเชื่อมั่นในตลาดตราสารหนี้อ่อนแอ กระทบต่อการระดมทุนใหม่ ทำให้ต้องบริหารกระแสเงินสดอย่างรอบคอบ เน้นเก็บเงินสดไว้เพื่อใช้ชำระคืนเงินกู้เป็นหลักก่อน
ในครึ่งแรกปีนี้กำไรสุทธิรวมของทุกบริษัทอยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เทียบกับปีก่อนหน้า เพราะยอดจัดเก็บปรับตัวดีขึ้นจากธุรกรรมรายใหญ่ในด้านต้นทุนทางการเงินนั้น มีทิศทางปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 3.84% จาก 3.78% ในปี 2567
สินทรัพย์รวมของบริษัทบริหารสินทรัพย์จะหดตัว 5% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า สอดคล้องกับการปรับลดลงราว 3% ในครึ่งแรกของปี 2568 ผลจากบริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่เพื่อสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และนำเงินสดที่ได้มาใช้เป็นแหล่งเงินทุนหลักในการลงทุนซื้อสินทรัพย์ใหม่ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน และความจำเป็นในการบริหารสภาพคล่องอย่างระมัดระวังมากขึ้น
การลงทุนซื้อหนี้หรือสินทรัพย์ใหม่จะชะลอตัวและอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตตลอด 12 เดือนข้างหน้า เพราะมาตรการของ ธปท. ยังส่งผลต่อการชะลอนำทรัพย์ออกมาประมูลขาย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปลายปี 2568 สถาบันการเงินจะนำทรัพย์ที่ผ่านเงื่อนไขการให้โอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้แล้วออกขายสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ในขณะที่บริษัทบริหารสินทรัพย์จะคัดสรรการลงทุนอย่างรัดกุมมากขึ้น จากข้อจำกัดด้านเงินทุนและสภาพคล่อง ทำให้ภาพรวมตลาดมีอุปทานส่วนเกินมากขึ้น และราคาเฉลี่ยในการซื้อขายทรัพย์จะปรับลดลงในช่วง 12 เดือนข้างหน้าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต
หากไม่รวมธุรกรรมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการรายหลัก ยอดจัดเก็บเงินสดโดยรวมของกลุ่มธุรกิจยังอ่อนตัว 15% เทียบกับช่วงปีก่อน แสดงถึงความเปราะบางที่สภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจยังคงกดดันต่อการฟื้นตัวและการทำกำไรของผู้ประกอบการ
บริษัทบริหารสินทรัพย์จะมีกลยุทธ์มุ่งเน้นและใช้ทรัพยากรไปยังกลุ่มสินทรัพย์ลูกหนี้พอมีศักยภาพ หรือทรัพย์สินของบริษัทที่มีนักลงทุนสนใจเป็นพิเศษ เน้นเจรจาเพื่อลดระยะเวลาที่ต้องเสียไปกับขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมาย เน้นทรัพย์ขนาดใหญ่เพื่อเร่งยอดจัดเก็บเงินสดซึ่งหากสำเร็จก็จะช่วยสนับสนุนยอดจัดเก็บได้ส่วนหนึ่ง
ทริสระบุยังไม่เห็นปัจจัยบวกชัดเจนใน 12 เดือนข้างหน้าที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่มีปัจจัยลบหลายด้านสร้างความไม่แน่นอน ได้แก่ ความไม่มั่นคงทางการเมืองจากปัญหาเสถียรภาพรัฐบาลไทย นโยบายภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ทำให้สถาบันการเงินยังคงระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อใหม่
โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซา ผลกระทบเหล่านี้สะท้อนกลับไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ต้องเผชิญความยากลำบากในการติดตามหนี้และขายทรัพย์สิน และมองธุรกิจกลุ่มบริษัทบริหารสินทรัพย์เผชิญความเสี่ยงหลัก เช่น ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง เพราะแหล่งเงินทุนมีความมั่นคงน้อยกว่าธนาคาร, ความเสี่ยงด้านตลาด จากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่ทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของราคาทรัพย์หลักประกันมีผลสำคัญต่อผลตอบแทนที่บริษัทจะได้รับ
ด้านแรงหนุนและสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังในปี 2569 คือ ดอกเบี้ยที่ลดลงเป็นปัจจัยสำคัญต่อผู้ประกอบการธุรกิจบริหารสินทรัพย์จากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายหลัก อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเฉลี่ยจะยังไม่สามารถลดลงได้มากในปี 2569 เพราะโครงสร้างเงินกู้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในรูปแบบของตราสารหนี้ที่ความกังวลของนักลงทุนในตลาดยังคงมีอยู่ ทำให้ยังต้องเสนออัตราผลตอบแทนที่สูง
นอกจากนี้ เงินกู้ส่วนใหญ่ยังเป็นเงินกู้ระยะยาวและมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ จึงต้องใช้เวลาในการปรับอัตราดอกเบี้ยใหม่ให้สอดคล้องกับดอกเบี้ยในตลาด แต่หากแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายยังคงลดลงต่อเนื่องในระยะยาว จะช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงิน และส่งผลดีต่อผลประกอบการในอนาคต
การแข่งขันในการประมูลซื้อหนี้ที่ชะลอตัว ประกอบกับปริมาณหนี้ด้อยคุณภาพในระบบที่เพิ่มขึ้น ช่วยเสริมอำนาจต่อรองของบริษัทบริหารสินทรัพย์กับสถาบันการเงิน ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นบนการลงทุนใหม่
แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ไม่แน่นอนทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก ส่งผลให้รายได้ของประชาชนไม่เติบโตและไม่สม่ำเสมอ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ความสามารถและความมุ่งมั่นที่จะเจรจาชำระหนี้อยู่ในระดับจำกัด ยิ่งไปกว่านั้นเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนนี้ยังส่งผลให้นักลงทุนชะลอแผนการลงทุนซื้อทรัพย์ออกไปอีก
คุณภาพสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อ SME ถดถอยลงต่อเนื่องท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอ ส่งผลให้ปริมาณหนี้ด้อยคุณภาพ ทั้งมีหลักประกันและไม่มีจะถูกทยอยนำออกมาขายให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ในปริมาณที่สูง สร้างอำนาจในการต่อรองและโอกาสคัดเลือกสินทรัพย์ที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการจัดการ
หนี้ครัวเรือนยังเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำมีภาระหนี้สูง สะท้อนความเปราะบางที่ยังดำเนินอยู่ต่อเนื่อง สถาบันการเงินจึงปล่อยสินเชื่อระมัดระวัง ขณะเดียวกัน ดอกเบี้ยขาลงกดดันรายได้ดอกเบี้ยของสถาบัน ทำให้ต้องเสริมสร้างมาตรการการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตอย่างรัดกุม เพื่อลดความเสียหายจากหนี้เสียที่จะเป็นภาระต่อผลประกอบการของสถาบันการเงิน ซึ่งจะส่งผลทางอ้อมต่อราคาและการจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายของบริษัทบริหารสินทรัพย์ กระทบต่อเนื่องไปยังยอดการจัดเก็บเงินสดและผลการดำเนินงาน
นโยบายภาครัฐในการเข้ามาจัดการปัญหาหนี้เสียของสถาบันการเงินยังไม่มีความชัดเจนทั้งรูปแบบและระยะเวลาดำเนินการ เป็นปัจจัยส่งผลทั้งในเชิงบวกหรือเชิงลบต่อธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ทั้งการแข่งขัน แหล่งเงินทุน กฎระเบียบ ขึ้นอยู่กับรูปแบบและแนวทางการดำเนินงานที่ภาครัฐจะกำหนด ตลอดจนมาตรการและโครงการช่วยเหลือลูกหนี้จาก ธปท. มีผลให้การไหลออกของหนี้ด้อยคุณภาพเข้าสู่ตลาดชะลอตัวลง รวมถึงมาตรการซึ่งบังคับใช้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ก็อาจจะส่งผลต่อวิธีการและระยะเวลาในจัดการหนี้ด้อยคุณภาพของบริษัทได้
ถือว่าธุรกิจบริหารสินทรัพย์ยังจะต้องประคองตัวเพื่อฝ่าคลื่นลมเศรษฐกิจอ่อนแอ และหนี้ครัวเรือนระดับสูงต่อไป