ทุบสถิติใหม่ (อีกแล้ว)

ก่อนจะเม้าท์ถึงเรื่องตลาดหุ้นไทย “โมนิก้า” ขอพูดถึงการทุบสถิติใหม่ที่เกิดขึ้นกับสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เพื่อให้นักลงทุนได้เห็นการเข้ามาเก็งกำไรแบบสุดโต่งยังดำเนินต่อไป


ก่อนจะเม้าท์ถึงเรื่องตลาดหุ้นไทย “โมนิก้า” ขอพูดถึงการทุบสถิติใหม่ที่เกิดขึ้นกับสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เพื่อให้นักลงทุนได้เห็นการเข้ามาเก็งกำไรแบบสุดโต่งยังดำเนินต่อไป หลังมีการพูดถึงการกลับมาของบิตคอยน์กันอย่างเมามัน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้อีฉันงุนงงมากเหลือเกิน เพราะเหตุผลของการทะยานขึ้นมันไม่ค่อยเมคเซนส์สักเท่าไหร่? จึงขอทำหน้าที่แค่สื่อสารข้อมูลให้ขาลุยได้รู้แค่นั้นจ้า

โดยเรื่องดังกล่าวกลับมาเป็นข่าวใหญ่ของโลกการเงินในช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา หลังราคาทะยานแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 125,700 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการวิ่งทะลุสถิติเดิมที่ทำไว้ 124,500 ดอลลาร์ เมื่อเดือนสิงหาคมแบบชิล ๆ  พร้อมกับมีคำอธิบายอย่างน่าเชื่อถือว่า การพุ่งแรงเป็นผลมาจากปริมาณการซื้อขายลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ชี้ให้เห็นความต้องการถือครองเพิ่มขึ้นทั่วโลกนะนายจ๋า

ประเด็นดังกล่าวทำให้ขาเทรดเรียกปรากฏการณ์เดือนตุลาคมดังกล่าวว่า Uptober” หลังราคาบิตคอยน์ฟื้นตัวแรงจากจุดต่ำสุดในเดือนกันยายนที่อยู่ในระดับ 107,800 ดอลลาร์ แถมสัปดาห์ที่ผ่านมายังเป็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอีกด้วย จนมีผู้รู้บางรายออกมากล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่า “บิตคอยน์ทำจุดสูงสุดใหม่หลายครั้ง ทั้งที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้เลยว่า บิตคอยน์มันคืออะไร” ตลกดีไหมล่ะคะ

เรื่องถัดมาคงต้องย้อนความกลับไปวันศุกร์ที่ 3 ต.ค. เพื่อชี้ให้เห็นการยืนปิดของดัชนีดาวโจนส์ที่ระดับ 46,758.28 จุด เพิ่มขึ้น 238.56 จุด หรือขึ้นไป 0.51% เป็นการทำสถิติสูงสุดใหม่ พร้อมกับมีคำอธิบายจากนักวิเคราะห์ว่า ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2-3 วันก่อนจะทำนิวไฮ ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า นักลงทุนยังเชื่อมั่นเฟดจะมีการลดดอกเบี้ยลงอีกอย่างแน่นอนพะยะค่ะ

จุดที่น่าสนใจก็คือ เฟดได้ลดดอกเบี้ยไปแล้วในเดือน ก.ย. 68 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากตัวเลขจ้างงานของสหรัฐฯ ในเดือน ส.ค. ลดลง โดยถือเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ ขณะที่การปรับลดครั้งล่าสุดต้องย้อนกลับไปในเดือน ธ.ค. 67 โน้นเลย! ขณะเดียวกันจะเห็นว่า นักวิเคราะห์หลายคนยังคงมองตัวเลขจ้างงานในเดือน ก.ย. ลดลงอีกเช่นกัน จึงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือน ต.ค. นี้จ้ะ 

ส่วนสถานการณ์ปัจจุบันที่น่าสนใจวันนี้ กลายเป็นเรื่องราคาทองพุ่งแรงไม่หยุด ซึ่งทำให้ราคาทองคำรูปพรรณตกบาทละหกหมื่น และมีการพูดกันอย่างหนาหูมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทำนองว่า อีกสองปีราคาทองอาจพุ่งขึ้นไปแตะแสนบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้อีฉันตกกะใจอย่างแรง แต่ต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า สารพัดปัจจัยทำให้ราคาทองคำอยู่ในช่วงขาขึ้น แถมทองคำก็ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงขึ้นทุกปี จึงเป็นที่นิยมของคนทั่วโลกไงล่ะคะ

ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่ราคาทองคำพุ่งขึ้น 50% นับตั้งแต่ต้นปี และตัวแปรหลักที่ทำให้ทองพุ่งมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และสงคราม รวมถึงการที่ธนาคารกลางหลายประเทศหันมาซื้อทองคำเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงจากสินทรัพย์ที่อิงกับดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ผนวกกับนักลงทุนจำนวนมากเข้ามาซื้อกองทุน ETF ที่อ้างอิงกับทองคำ (gold-backed ETFs) จนยอดถือครองของกองทุนเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 3 ปีแบบนี้..ทองจะลงไหมล่ะ!

สุดท้ายพอหันมาดูตลาดหุ้นไทยที่แกว่งตัวขึ้น ๆ ลง ๆ และผู้คนสนใจแต่เรื่องของ “เบน สมิธ” ที่หลายฝ่ายพยายามขุดคุ้ยไม่เว้นแต่ละวัน และเรื่องดังกล่าวพัวพันกับเงินที่เข้ามาในตลาดหุ้นมากขนาดไหน? “โมนิก้า” เลยมองว่า การที่หุ้นไทยประคองตัวปิดที่ระดับ 1,285.64 จุด ลบไป 7.97 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.31 หมื่นล้านบาท ถือเป็นเรื่องที่ดีสุดในภาวะที่ตลาดหุ้นกำลังรอข่าวดีเข้ามาซัพพอร์ตนะจะบอกให้

โมนิก้าและทีมงาน

Back to top button