
ITC ต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง
คงจะต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งสำหรับ ITC เนื่องจากไตรมาส 3 ของปีนี้จะเป็นไตรมาสแรกที่ต้องเผชิญผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
เส้นทางนักลงทุน
คงจะต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งสำหรับบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC เนื่องจากผลประกอบการงวดไตรมาส 3 ของปี 2568 นี้ จะเป็นไตรมาสแรกที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หรือ US Import Tax ในอัตรา 19% เต็ม ๆ ไตรมาส
ซึ่งก่อนหน้านี้มีความกังวลกันว่าการที่ ITC ต้องจ่ายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในอัตรา 19% ดังกล่าว จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบริษัทพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อขายในตลาดสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น กำไรลดลง การแข่งขันเสียเปรียบ และอาจต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อรับมือกับสถานการณ์
ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 19% จะเพิ่มภาระต้นทุนให้กับสินค้าที่นำเข้า ทำให้ราคาขายต้องปรับสูงขึ้น หรือบริษัทต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเอง และหากคู่แข่งสามารถหลีกเลี่ยงภาษีนี้ได้ หรือมีโครงสร้างต้นทุนที่ต่ำกว่า ITC อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ทำให้เสียส่วนแบ่งตลาด ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการนำเข้าโดยตรงย่อมส่งผลให้กำไรของบริษัทลดลง หากไม่สามารถผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่
ดังนั้นผลประกอบการงวดไตรมาส 3 ของปี 2568 นี้ จึงเป็นไตรมาสที่ชี้ชะตาและท้าทายความสามารถของผู้บริหาร ITC พอสมควร
อย่างไรก็ตาม “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ได้สำรวจมุมมองของนักวิเคราะห์ค่ายต่าง ๆ ที่มีต่อ ITC พบว่ามี “เซอร์ไพรส์” เพราะบริษัทสามารถปรับตัวได้ดี และในทางตรงข้ามจบไตรมาส 3 ของปีนี้ แนวโน้มผลประกอบการ ITC ส่งสัญญาณดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ตามดีมานด์ที่ฟื้นตัวจากปัจจัยฤดูกาล, การขยายผลิตภัณฑ์ รวมทั้งลูกค้าใหม่และการควบคุมค่าใช้จ่าย
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) ฟันธงกำไรปกติไตรมาส 3 ปีนี้ไว้ที่ 730 ล้านบาท ลดลง 29% จากงวดปีก่อน แต่โต 3% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากรายได้โตตามฤดูกาล แต่ถูกชดเชย (offset) บางส่วนจากเงินบาทแข็งและการเริ่มช่วยเหลือ หรือ tariff support กับลูกค้า โดยเฉพาะการให้ส่วนลด
ITC จะมีอัตราการทำกำไรขั้นต้น (GPM) ลดลง 4.80% เพราะบาทแข็ง และค่าใช้จ่ายในการบริหารและขาย (SG&A/Sale) ยังสูงที่ 10% จากค่าใช้จ่ายผันแปรจากการลงทุนทรานส์ฟอร์เมชั่น (transformation)
สำหรับไตรมาส 4 ปี 2568 กำไรปกติจะอ่อนตัวต่อเนื่องจากงวดปีก่อน แต่ดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนเพราะเป็นไฮซีชั่น (high season) แต่อาจถูกชดเชยบางส่วนจากการให้ tariff support มากขึ้น และกำลังซื้อมีโอกาสลดลงจากการปรับราคาขึ้น
อย่างไรก็ตาม ITC ถูกปรับลดกำไรลง แต่ปรับขึ้นราคาเป้าหมาย โดยกำไรปกติทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท ลดลง 26% จากปีก่อน และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 17 บาท จากเดิม 14 บาท ปรับ P/E ขึ้นเล็กน้อยเป็น 17 เท่า จากเดิม 15 เท่า มองกำไรปกติปี 2569 ฟื้นตัว แม้ยังต้องระมัดระวังติดตามทิศทางกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อาจเห็นผลกระทบมากขึ้นหลังจากนี้
เช่นเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ ยังชู ITC น่าสนใจ ปริมาณขายเติบโตแม้รายได้ถูกกดดันจากค่าเงินบาทแข็ง และการช่วยเหลือด้านภาษีระยะสั้นซึ่งจะสิ้นสุดภายในปีนี้ ทั้งนี้การสนับสนุนลูกค้าอาจเปิดโอกาสโอนการผลิตบางส่วนจากลูกค้ารายใหญ่ในปีหน้า
จึงมองกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปีนี้ ที่ 744 ล้านบาท ลดลง 24% จากปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนเพราะรายได้โตรับแรงหนุนจากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงในกลุ่มประเทศอเมริกาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากลูกค้ารีเทลรายใหญ่ที่มีออเดอร์สินค้าพรีเมียมเพิ่มขึ้น
รวมทั้งยอดขายในยุโรปดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อนจากฐานสูง, ปริมาณการขายรวมเติบโตส่วนใหญ่เป็นสินค้าพรีเมียม ซึ่งมีสัดส่วนราว 50% ของรายได้ ท่ามกลางแรงกดดันของ GMP ลดลง จาก US tariff ที่บริษัทช่วย support ลูกค้าบางรายและค่าเงินบาทแข็ง
ITC มีสัญญาณผลประกอบการจะเติบโตในครึ่งหลังปี 2568 และปี 2569 เริ่มเป็นบวก โดยไตรมาส 4 ปีนี้ ยังคงดีต่อเนื่องจากการออกสินค้าใหม่และการเพิ่มขึ้นของลูกค้าใหม่ จึงประมาณการกำไรปีนี้ที่ 3.05 พันล้านบาท ลดลง 15% จากปีก่อน และปีหน้าที่ 3.25 พันล้านบาท โต 7% หนุนจากตลาดอเมริกาดีกว่าคาด เพราะการปรับ product mix ได้อย่างเหมาะสม ให้ราคาเป้าหมาย 18.50 บาท
ต้องยอมรับว่าแม้ ITC ยังมีความไม่ชัดเจนจากผลกระทบ US Import Tax แต่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายต่ำสุด 14 บาท สูงสุด 22 บาท